แต่สำหรับมวลมหาประชาชนสาวกลูกหนังของ “เดอะ แรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ยังอยู่ในอาการหัวร้อนไม่หาย หลังจากทีมรักทำได้เพียงบุกไปแบ่งแต้มกับ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ไปอย่างออกรสออกชาติ ในเกมเปิดหัวฤดูกาลใหม่ ก่อนที่เกมที่สองจะคืนฟอร์มเปิดรัง ลีโอ สเตเดี้ยม เอาชนะ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ไปได้ 2-0
ประเด็นหลักในช่วงต้นซีซั่นนอกจากการเสวนาเรื่องฟอร์มการเล่นของทีมที่ยังไม่ไฉไลแล้ว คงหนีไม่พ้นการร่ายยาวถึงการเล่นของ เอร์เนสโต้ ภูมิภา แบ็กซ้ายตัวใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจาก สมุทรปราการ ซิตี้ อย่างแน่นอน
นัดแรก ออเรลิโอ วิดมาร์ กุนซือเลือดออสซี่ของทีม “เดอะ แรบบิท” เจอปัญหาในแนวรับตบเท้ากันได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะคีย์แมนอย่าง อันเดรส ตูเญซ ทำให้มีการปรับกระบวนยุทธ์ เพื่อรับมือเกมรุกอันทรงพลังของเจ้าถิ่น “ฉลามชล” ที่ขนขีปนาวุธชุดใหม่ทั้ง เดนนิส มูริลโล่ รองดาวซัลโวเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา กีดี้ คานยุค เพลย์เมกเกอร์เลือดยิว และ ยู บยอง ซู ดาวยิงพลังโสม ออกรบอย่างพร้อมเพรียง หวังหักคอแชมป์เก่าให้รู้รสชาติถึงความพ่ายแพ้ ตั้งแต่ไก่โห่
ทว่าด้วยร้ายกาจของ “ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้” ที่ได้โอกาสเอี้ยวตัวยิงจากลูกเปิดของ สันติภาพ จันทร์หง่อม ตุงตาข่าย ก็ทำให้ขุนพล “กระต่ายแก้ว” ออกนำไปก่อนตั้งแต่ 17 นาทีแรก จากนั้นพวกเขาหวังจะรักษาสกอร์ที่นำอยู่ให้ได้ เหมือนกับที่ทำบ่อยๆ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา จนทำให้ทีมทะยานเข้าป้ายเป็นแชมป์ในบั้นปลาย
แต่อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนของเกมอยู่ที่นาทีที่ 65 เมื่อ วิดมาร์ แก้หมากด้วยการส่ง เออร์เนสโต้ ภูมิภา ลงสนามมาแทน ชาตรี ฉิมทะเล ดาวเตะวัยลายครามที่ได้เล่นเป็นกองหลังในเกมนี้
ทันทีที่ลงสัมผัสใบหญ้า ดาวเตะทีมชาติไทย ได้ย่ำไปที่ข้อเท้าของ เดนนิส มูริลโล่ ที่กำลังจะพริ้วหนีล้มลง ซึ่งสำคัญจุดเกิดเหตุดันอยู่ในกรอบเขตโทษ ทำให้ วินัด โพธิ์พัฒน์ ตุลาการในสนามไม่รีรอที่จะมอบจุดโทษแก่เจ้าถิ่น
ก่อนที่ มูริลโล่ จะลุกขึ้นมาสังหารเอง และส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ จนสกอร์มาเสมอกันที่ 1-1 โดยถือเป็นการนับหนึ่งกับต้นสังกัดใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยมของดาวยิงแซมบ้าวัย 29 ปี
ตัดภาพไปที่ เออร์เนสโต้ เองยังคงอยู่ในอาการขวัญผวา และใบหน้าบ่งบอกถึงความมั่นใจที่ลดหายไปถึงขีดสุดแล้ว
เอาจริงๆ ต้องบอกว่าเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เออร์เนสโต้ ถือเป็นแบ็กซ้ายที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง จนสามารถพา “เขี้ยวสมุทร” จบฤดูกาลด้วยอันดับ 6 ของตารางคะแนน
กระทั่งฟอร์มอันเอกอุไปเข้าตา อากิระ นิชิโนะ กุนซือทีมชาติไทยในขณะนั้น จนต้องกวักมือเรียกไปติดทัพ “ช้างศึก” ในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 2
ขณะที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เองยังมือไว ส่งขันหมากไปขอ เออร์เนสโต้ จาก สมุทรปราการ ซิตี้ เพื่อหวังให้ไปลบหลุมดำในแนวรับทางฝั่งซ้าย ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาอย่างยาวนานนั่นเอง
แน่นอนว่าดีลนี้ทำเอาสาวก “เดอะ แรบบิท” หัวใจพองโต เพราะนอกจากทีมได้นักเตะฟอร์มเทพ ยังมีดีกรีทีมชาติไทยติดมาด้วย แบบนี้ใครละไม่ฝันหวานถึงแชมป์ลีกอีกสมัย
อย่างไรก็ตามในเกมทีมชาติ เออร์เนสโต้ กลับทิ้งร่างเทพลงโถส้วม กลายเป็นนักเตะคนละคนที่สวมเครื่องแบบกรมท่าของ สมุทรปราการ ซิตี้ จนเป็นบ่อน้ำมันให้คู่ต่อสู้เจาะตลอดทุกนัดที่ลงสนาม ทำให้ความมั่นใจที่เคยเต็มสูบ หดหายไปจนหมดสิ้น แถมยังส่งกระทบชิ่งมายังฟอร์มการเล่นในสนามกับสโมสรอย่างที่เห็น
จากนี้เป็นต้นไปถึงเวลาแล้วที่ เออร์เนสโต้ ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าดีพอสำหรับการสวมเสื้อน้ำเงินของ บีจีพียู พร้อมก้าวผ่านความยากลำบากและตื่นจากฝันร้ายไปให้ได้
เพราะหากเขาสถาพจิตใจแกร่งขึ้น จะกลายเป็นผลดีต่อตัวเอง รวมถึงสโมสร เพื่อเป้าหมายในการป้องกันแชมป์ลีกสูงสุดต่อไป
ส่วนทาง ออเรลิโอ วิดมาร์ ต้องพยายามเค้นฟอรมการเล่นของ เออร์เนสโต้ ให้กลับมาสู่ร่างเทพให้ได้ เพราะในฐานะกุนซือเขาคือผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงต่อฟอร์มการเล่นของลูกทีมทุกคน
เชื่อว่าแฟนบอล บีจีพียู ยังพร้อมสนับสนุนให้ เออร์เนสโต้ ตื่นจากฝันร้ายเสมอ
สุดท้ายหาก เออร์เนสโต้ ไม่สามารถรีดฟอร์มเก่งออกมาได้ บางทีอนาคตของเขา รวมถึง วิดมาร์ ในถิ่นลีโอ สเตเดียม อาจจะอยู่ไม่ครบเทอม และถูกเตะโด่งออกจากทีมมีสูง
หลังจากนั้นในเกมที่ 2 ชื่อของ เออร์เนสโต้ ไม่ปรากฎอยู่กระทั่งในม้านั่งสำรอง ซึ่งไม่ทราบว่าเจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บหรือไม่ แต่การที่ อภิสิทธิ์ โสรฎา ได้รับโอกาสลงเล่นและทำผลงานได้อย่างโดดเด่น รวมถึงตัวสำรองในครึ่งหลังที่โยก เควิน อินเกรโซ่ ลงมาเล่นแทน ซึ่งดาวเตะโควตาอาเซียนก็เคยทำหน้าที่นี้มาแล้วกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยิ่งส่อแววว่าอนาคตของ เออร์เนสโต้ ที่จะยึดตำแหน่งตัวจริงกับ บีจีฯ ได้นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ
อย่าลืมว่านี่คือ ไทยลีก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลีกกินนักเตะและโค้ช ซึ่งฉายานี้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน
