:::     :::

"ผมอยากยิงลิเวอร์พูลรอบชิงยูโรเปี้ยนคัพแล้วเราชนะ" Bryan Robson

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,699
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
7 เหตุผลที่ว่า ทำไม "ไบรอัน ร็อบสัน" ถึงได้เป็นตำนานของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คำบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่น และเรื่องราวที่แฟนบอลรุ่นใหม่ควรจะรับรู้เอาไว้ ถึงแม้จะเกิดไม่ทันดูเขาเล่นสดๆก็ตามทีว่า ร็อบโบ้ "ยิ่งใหญ่" ไม่แพ้ตำนานคนไหนๆในประวัติศาสตร์ของปีศาจแดง

หนึ่งในรายชื่อนักเตะผู้เป็นตำนานสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ถูกเล่าขานกันมาเป็นเวลานานจากรุ่นสู่รุ่นนั้น จะต้องมีชื่อของ "Bryan Robson" ด้วยอย่างแน่นอน ผู้ซึ่งครบรอบ40ปีพอดีจากการเดบิวต์ครั้งแรกให้กับสโมสรในเดือนตุลาคมนี้ 

มีนิทรรศการจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เพื่อแสดงความเคารพต่อช่วงเวลาการเป็นนักเตะของ ไบรอัน ร็อบสัน นับตั้งแต่ตุลาคมปี 1981 หลังจากที่เซ็นสัญญามาจากเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน มาอยู่กับปีศาจแดงด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติของเกาะอังกฤษ

แฟนบอลรุ่นใหม่ๆอาจจะได้ยินเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่าจากคุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตายาย หรือเพื่อนรุ่นพี่ของคุณที่เล่าเรื่องของร็อบสันให้ฟัง แต่ก็เข้าใจได้ว่า ยังมีอีกหลายๆคนที่สงสัยว่า เพราะอะไร ร็อบโบ้จึงถูกมองว่าเป็นเหมือนศูนย์รวมของทุกๆอย่างที่สำคัญมากๆในการลงเล่นให้กับยูไนเต็ด

เพื่อเป็นเกียรติแก่หนึ่งในตำนานเบอร์7ของพวกเรา นี่คือ "7เหตุผล" ที่ว่า ทำไม ไบรอัน ร็อบสัน จึงได้เป็น "ตำนาน"

1. เขาเซ็นสัญญาบนสนามฟุตบอลกันแบบจะจะ

ราฟาเอล วาราน เดินเปิดตัวออกมาจากอุโมงค์ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดอย่างนุ่มนวล หลังจากที่การเซ็นสัญญากับเรอัล มาดริด ได้รับการยืนยันแล้ว การเปิดตัวของเขาได้รับการต้อนรับอย่างอื้ออึงที่โรงละครแห่งความฝันอย่างโคตรเท่และน่าประทับใจ

แต่นั่นไม่ใช่การเปิดตัวนักเตะต่อหน้าแฟนบอลในสนามเป็นครั้งแรก และวารานที่ว่าเปิดตัวเจ๋งๆแล้ว อันนี้เจ๋งกว่า!!!

มันคือเวลาเพียงสองวัน หลังจากที่ดีลกับทางเวสต์บรอมวิชได้ข้อตกลงเรียบร้อย ไบรอัน ร็อบสัน เดินออกมาเปิดตัวต่อหน้าแฟนบอล 47,000 คนในสนาม ร่วมกับผู้จัดการทีมอย่าง รอน แอตกินสัน, ประธานสโมสรอย่าง มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส และ เลขานุการสโมสรอย่าง เลส โอลีฟและก็นั่งเซ็นสัญญาอย่างที่เห็นในรูป

มันเป็นดีลราคาแพงมาก แต่ก็คุ้มค่าทุกเพนนี ตามที่แอตกินสันพูดไว้ในตอนนั้นไม่มีผิด

"ผมบอกมาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส เรื่องที่จะให้เซ็น ไบรอัน ร็อบสันมาว่า มันไม่มีอะไรเสี่ยงเลยแม้แต่นิดเดียว เขาคือทองแท้อย่างแน่นอน"

แอตกินสันพูดถูกจริงๆ

2. กัปตันมาร์เวลผู้เป็นสัญลักษณ์ของยุค 80s

ในยามที่ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เป็นเต้ยอยู่ในฟุตบอลอังกฤษช่วงยุค 1980s ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน แบ่งแชมป์กันเชยชมระหว่างปี 1982 จนถึง 1988 ยูไนเต็ดขึ้นไปใกล้เคียงได้อยู่หลายๆซีซั่น ซึ่งร็อบสันคือเหตุผลสำคัญที่พาทีมขึ้นไปสูงได้เช่นนั้น

มิดฟิลด์ผู้ถือกำเนิดจากถิ่น County-Durham ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะอังกฤษรายนี้นั้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันของสโมสรภายในขวบปีแรกจากการเซ็นสัญญาย้ายทีมเข้ามา ได้รับปลอกแขนจากการที่เขาโชว์ฟอร์มได้ดีให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลกปี 1982 ที่สเปน หลังจากที่ประตูที่เร็วที่สุดในทัวร์นาเมนต์ได้ จาก 27 วินาที กับการลงสนามในเกมฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในชีวิตของเจ้าตัว

ในฐานะกัปตันทีม ร็อบสันโชว์ฟอร์มได้อย่างสม่ำเสมอแบบไม่น่าเชื่อ เขาคือมิดฟิลด์สมบูรณ์แบบที่ครบเครื่อง เขาทั้งจ่ายบอลแม่นยำ คุมจังหวะเกม เข้าปะทะแม่นยำและหนักหน่วง วิ่งได้เป็นชั่วโมงๆไม่มีหยุด เพรสซิ่งใส่คู่แข่ง เล่นป้องกันได้ และแถมยังทำประตูได้อีก วิ่งขึ้นเติมเข้าในกรอบเขตโทษได้อย่างดุดัน

แฟนบอลและเพื่อนร่วมทีมนั้นมีความเชื่อมั่นว่า ยามที่ทีมมีร็อบสันอยู่ในสนาม ทีมจะไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน แม้บางครั้งอาจจะมีพลาดแพ้บ้าง แต่แน่นอนว่า "ศรัทธา" ของผู้คนยังคงมีความเชื่อมั่นในตัวเขาไม่เสื่อมคลาย

การบริหารจัดการทีมภายใต้ยุคของแอตกินสันนั้น ยูไนเต็ดก็ทำได้ดี แต่ว่ายังไม่ดีพอที่จะได้แชมป์ลีก หลายๆครั้งเมื่อร็อบสันมีอาการบาดเจ็บ ก็จะส่งผลต่อโอกาสการคว้าแชมป์ลีกของทีมด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นถ้วย FA Cup ที่ทีมทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมแทน

3. เป็นกัปตันทีมแมนยูไนเต็ดคนเดียวที่ได้ชูถ้วยแชมป์ FA Cup สามครั้ง

นักเตะบางคนถูกโฉลกกับบอลถ้วย เช่นเดียวกันกับไบรอัน ร็อบสัน ฝีเท้าอันโดดเด่นในรอบชิงชนะเลิศกับไบรจ์ตันในปี 1983 คือหนึ่งในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของเขา หลังจากที่เสมอกัน 2-2 ในเกมแรก ทำให้ต้องมารีเพลย์กันอีกครั้งกลางสัปดาห์

แมนยู-ไบรจ์ตัน ยุคคลาสสิค

ร็อบสันยิงสองลูกในครึ่งแรกที่เวมบลีย์ ลูกหนึ่งยิงไดรฟ์ชู้ตจากนอกกรอบเขตโทษ ในขณะที่อีกลูกเป็นการเข้าtap-in จากลูกเซ็ตพีซ ในขณะที่ครึ่งหลัง ยูไนเต็ดได้ลูกจุดโทษ และร็อบสันกลับปฏิเสธการจะได้สร้างประวัติศาสตร์ทำ "แฮตทริก" ในรอบชิงเอฟเอคัพของตัวเองด้วยการมอบลูกบอลให้กับ อาร์โนลด์ มูห์เรน เป็นคนยิงจุดโทษแทน

สุดท้ายยูไนเต็ดชนะแบบหมดจดด้วยสกอร์ 4-0

เทียบปัจจุบัน แกก็คือมิดฟิลด์Box-to-Box ที่เติมเกมเข้ากรอบเขตโทษได้ดุดันสุดๆ แถมเป็นมิดฟิลด์ไดนาโมที่ทำทุกอย่างในสนามด้วย

ชายผู้ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างร็อบสัน ก็ได้เป็นผู้ชูถ้วยเอฟเอคัพในฐานะกัปตันทีม และเป็นคนแรกที่ทำได้ถึงสามสมัย

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เหนือไปกว่านั้นอีกก็คือสิ่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็นในการเจอกับลิเวอร์พูล ใน2ปีต่อมา เป็นรอบรองชนะเลิศในเอฟเอคัพปี 1985 ร็อบสันพายูไนเต็ดขึ้นนำที่สนามกูดิสันปาร์ค ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะตีเสมอในนาทีสุดท้ายช่วงเวลาปกติ จนต้องแข่งรีเพลย์พิเศษกันอีกครั้ง

และการทำเข้าประตูตัวเองของ พอล แม็คกรัธ ในเกมรีเพลย์ทำให้ยูไนเต็ดตามหลังก่อนที่สนามเมนโร้ด แต่ว่าร็อบสันพาลูกทีมบุกตะลุยในครึ่งหลัง แล้วสร้างโคตรคัมแบ็คอีกครั้งด้วยการรับบอลชิ่งมา และกระชากผ่าน มาร์ค ลอว์เรนสัน กองหลังของลิเวอร์พูล กระชากคนเดียวเกือบครึ่งสนามขึ้นหน้ามาเดี่ยวๆ แล้วซัด "ลูกไฟ" ด้วยซ้ายเต็มตีน บอลพุ่งเสียบตาข่ายหนีมือบรู๊ซ กร็อบเบลลาร์เข้าไปอย่างสวยงามสุดๆ แมนยูตีเสมอลิเวอร์พูล 1-1 ในเกมนัดรีเพลย์แมตช์นั้น

ใครได้เห็นลูกนี้จะเข้าใจภาพของไบรอัน ร็อบสัน มากขึ้นว่า เขาไม่ใช่แค่มิดฟิลด์แข็งแกร่งจอมทรหดธรรมดาๆ แต่ฝีเท้าก็อยู่ในระดับสุดยอดด้วย ไม่งั้นประตูนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน

โคตรของโคตรแบกทีมขนานแท้


ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น มาร์ค ฮิวจ์ส ที่ยิงประตูชัยได้สำเร็จ แมตช์นี้ทำให้ สตีฟ เคอรี่ แห่ง The Daily Express ต้องขนานนามเกมนี้ว่าเป็นแมตช์ "ที่สุดของที่สุดแห่งฟุตบอลอังกฤษ" เลยทีเดียว และไบรอัน ร็อบสัน ก็ถูกแฟนบอลอุ้มเฉลิมฉลองออกมาจากสนามในวันนั้นอีกครั้ง

ก่อนที่ยูไนเต็ดจะเข้ารอบชิงและคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ด้วยการอัดทีมที่เป็นเต้ยจากเมอร์ซีย์ไซด์ในยุคนั้นอีกทีมอย่าง เอฟเวอร์ตันไป 0-1 คาสนามเวมบลีย์ต่อหน้าผู้ชมเรือนแสนในวันที่ 18 พฤษภาคม 1985 จากประตูของนอร์แมน ไวท์ไซด์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 110

ปี1990 เขาได้แชมป์ FA Cup เป็นครั้งที่สามในฐานะกัปตันทีมด้วยการยิงประตูอีกครั้งที่เวมบลีย์ ในเกมเสมอ 3-3 กับคริสตัลพาเลซ ซึ่งก็ต้องไปแข่งรีเพลย์กันอีกครั้ง และยูไนเต็ดชนะไป 0-1 จากประตูของแบ็คซ้ายอย่าง ลี มาร์ติน ก่อนที่ร็อบโบ้จะได้ขึ้นชูถ้วยแชมป์เอฟเอคัพในฐานะกัปตันทีมถึงสามสมัยในท้ายที่สุด

4. โชว์ฟอร์มใส่บาร์ซ่าในปี 84

การถูกอุ้มแห่ออกจากสนามในปี 1985 ที่สนามเมนโร้ด อันได้กล่าวถึงไปนั้น นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ร็อบโบ้ถูกแฟนบอลแห่แบบนั้น แต่เหตุการณ์อันเป็นความทรงจำก็คือ การลงสนามให้ยูไนเต็ดในปีก่อน (1984) ฟอร์มของร็อบโบ้ถือว่าเป็น "หนึ่งในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของนักเตะแมนยูไนเต็ดทั้งหมดในประวัติศาสตร์สโมสร" เลยทีเดียว

ร็อบโบ้ซัดสองประตูใส่บาร์เซโลน่า ที่มี "ดิเอโก้ มาราโดน่า" อยู่ในทีมนั้น

พวกเขาพลาดท่ามาในเลกแรกของ ยูฟ่ายูโรเปี้ยน คัพวินเนอร์ส คัพ ในรอบ8ทีมสุดท้ายต่อยอดทีมจากคาตาลันไปถึงสองประตู ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะต้องชนะให้ได้ 3-0 เพื่อผ่านเข้ารอบไปให้สำเร็จ

ร็อบสันแสดงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า และไม่ยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้อย่างถึงที่สุด จนแม้แต่เซอร์บ็อบบี้ มัวร์ ก็ออกมากล่าวยกย่องเขา

ร็อบโบ้ยิงประตูแรกให้กับยูไนเต็ดหลังจาก 21 นาที ด้วยการโหม่งใส่เสาไกลจากบอลที่สะกิดมาโดย แกรมม์ ฮอกก์ จากลูกเตะมุมของเรย์ วิลกินส์

และ 6 นาทีหลังจากเริ่มต้นครึ่งหลัง บาร์เซ่โดนแมนยู"เพรสซิ่งสูง"และคืนหลังกันจนผู้รักษาประตูที่โดนนอร์แมน ไวท์ไซด์วิ่งเข้าไปกดดันเตะสกัดออกมาไม่ดี และเป็นแมนยูไนเต็ดที่ครอสเข้ามาให้วิลกินส์ได้ซัดเต็มแรง ยังติดผู้รักษาประตูอย่าง Urratti อยู่ แต่กัปตันมาร์เวลที่อยู่ในกรอบเขตโทษ ใช้สัญชาตญาณเพชรฆาต วิ่งตามเข้าไปซ้ำดาบสองแบบหมดจดและโคตรสะใจ เป็นประตูตีเสมอ 2-2 และทำให้โมเมนตัมความฮึกเหิมของทั้งนักเตะและแฟนบอลในสนามแทบจะเป็นบ้าคลั่ง

ลูกนี้เลย

แมนยูก็ยังคงเป็นแมนยูอยู่เสมอไม่ว่ายุคไหนๆ เวลาคัมแบ็คแซงทีมพวกนี้ได้ มักจะแซงรวดเดียวต่อเนื่องได้ในทันที และก็เป็นเพียงแค่ "2นาทีให้หลัง" เมื่อประตูชัยพาแมนยูผ่านเข้ารอบไปได้ ก็มาถึงจากประตูของกองหน้าอย่าง แฟรงค์ สเตเปิลตัน ซัดระยะเผาขนเข้าไปตูมเดียวหาย จากบอลครอสทางฝั่งซ้ายที่ไวท์ไซด์ได้โหม่งแต่ไม่ตรงกรอบ มีกองหน้าอย่างสเตเปิลตันยืนตำแหน่งที่ดี และทุบเข้าไปแบบไม่เลี้ยงในประตูนี้ อันเป็นประตูชัยทำให้ยูไนเต็ดผ่านบาร์ซ่าไปได้ด้วยสกอร์รวม 3-2 ซึ่งเกมนั้นดิเอโก้ มาราโดน่า ก็อยู่ในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดเช่นกัน


ฟอร์มการเล่นในคืนนั้นถือว่าเป็นตำนานอย่างแท้จริง และไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เว่อร์วังเกินจริงด้วยแต่อย่างใด เพราะมันดีเยี่ยมตามเนื้อผ้าจริงๆ เนื่องจากปีศาจแดงในวันนั้นเล่นดีทั้งทีม แต่ร็อบสันระเบิดฟอร์มดั่งพายุในสนามด้วยพลังงานที่ไม่มีวันหมด และเล่นด้วยคุณภาพในทุกๆแอ็คชั่น ทุกๆจุดของสนามที่ทีมเราต้องการ

หลังจากจบเกม แฟนบอลต่างพากันกรูข้ามป้ายโฆษณาเข้ามาในสนามฟุตบอล และเชิดชูฮีโร่ของพวกเขาด้วยการอุ้มชายผู้นี้แห่รอบสนามและแบกเขาเข้าอุโมงค์ไปในที่สุด

ไม่แน่ว่าการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่สุดในจิตใจของร็อบสันนั้น อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจาก performance ในสนามวันนั้นแค่อย่างเดียว แต่ว่าเขาแสดงออกจากคำให้สัมภาษณ์หลังเกมแรกที่แพ้มา สิ่งแรกที่เขาพูดชี้ชัดฟันธงออกมาเลยทันทีก็คือ ยูไนเต็ดจะต้องได้ผลการแข่งขันที่ดีกว่าเลกแรกนี้อย่างแน่นอน

และเขาก็ทำได้อย่างที่พูดจริงๆ

5. เป็นกัปตันทีมที่รับใช้สโมสรยาวนาน

ร็อบสันถือเป็นกัปตันทีมที่ลงสนามรับใช้ทีมอย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาใส่ปลอกแขนของปีศาจแดงตั้งแต่ปี 1982 จนถึง 1994 เขาคือยอดนักเตะฝีเท้าดีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นดาวเด่นซึ่งทีมขาดไปไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่ทีมปราศจากกัปตันมาร์เวลในสนาม โอกาสที่จะประสบความสำเร็จของทีมจะลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียวหรือมากกว่านั้น

ในยามที่ "อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" พาปีศาจแดงคว้าแชมป์ได้สำเร็จแล้วนั้น มันก็เหมาะสมกับการที่ร็อบสันจะยังเป็นหัวหน้าทีมต่อไป และตอนที่ยูไนเต็ดการันตีแชมป์ฤดูกาล 1992/93 ไปแล้วนั้น พวกเขาต้องลงเล่นเกมสุดท้ายกับ "วิมเบิลดัน" ซึ่งร็อบสันได้ชูถ้วยพรีเมียร์ลีกไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน

การได้ชูถ้วยพรีเมียร์ลีกของร็อบสัน มันโคตรเท่ และเติมเต็มการเป็นกัปตันทีมที่รับใช้สโมสรมายาวนานมาตลอดสิบกว่าปีจริงๆ

แม้ว่าฮีโร่จากเมื่อทศวรรษ 80s รายนี้จะไม่ได้มีฟอร์มอยู่ในระดับสุดยอดเหมือนสมัยนั้น แต่ฤดูกาล 92/93 ร็อบโบ้ก็ยังยิงประตูที่เซลเฮิร์สปาร์คในเกมเยือนนัดสุดท้ายได้อีก และแชมป์นี้ก็ถือว่าเติมเต็มให้กับชีวิตนักฟุตบอลของเขาให้สมบูรณ์แบบ ประหนึ่งหนังที่ถูกเขียนบทเอาไว้จริงๆ

เป็นการปิดท้ายด้วยการคว้าแชมป์ลีกบนเกาะอังกฤษด้วยโทรฟี่ "พรีเมียร์ลีก"อย่างสวยงาม ร่วมกับนักเตะในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า, ปีเตอร์ ชไมเคิล, สตีฟ บรูซ, แกรี่ พัลลิสเตอร์, เดนิส เออร์วิน, ไรอัน กิ๊กส์, อังเดร แคนเชลสกี้, ลี ชาร์ป, มาร์ค ฮิวจ์ส, ไบรอัน แม็คแคลร์

น้ากิ๊กส์กับร็อบโบ้ภาพนี้ ให้อารมณ์เหมือนเมสัน กรีนวู้ด กอดกับคาวานี่ในยุคนี้ชัดๆ

และรวมถึงนักเตะดาวรุ่งที่ขึ้นมาเป็นแบ็คอัพของทีมอย่าง เบ็คส์ บัตต์ เนฟ ก็มีชื่ออยู่ในทีมแชมป์ชุดปี 92/93 เช่นเดียวกัน แม้กระทั่ง "ไมค์ ฟีแลน" ก็ยังอยู่กับทีมชุดนั้นด้วยในฐานะมิดฟิลด์สำรองที่ได้ลงสนามไม่กี่นัด พอๆกับไบรอัน ร็อบสันในยุคปลายเส้นทางอาชีพ

6.ประตูในตำนาน

มีหลากประตูมากๆจากร็อบสัน ซึ่งสองเม็ดที่ยิงใส่บาร์ซ่าปี 84 ก็ใช่ รวมถึงประตูที่เขายิงได้ ทั้งในรอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลถ้วยเอฟเอคัพ (ลากครึ่งสนามยิงลูกไฟใส่ลิเวอร์พูล, ยิงสองลูกใส่ไบรจ์ตัน) เขาคือคนที่เจิดจรัสอย่างแท้จริงในช่วงเวลาดังกล่าว และยิงไปถึง 99 ประตูให้กับสโมสร

เมื่อเราถามเขาว่า ถ้าเลือกได้ หากคุณจะยิงประตูที่100ของตัวเองได้ คุณอยากให้มันเป็นแบบไหน ร็อบโบ้ก็เลือกคำตอบของเขากลับมาว่า

"ผมอยากยิงใส่ทีมอย่างลิเวอร์พูลในรอบชิงยูโรเปี้ยนคัพ แล้วทีมเราชนะ มันจะเป็นอะไรที่สุดยอดมาก"

เขายิงประตูที่เป็นตำนานมามากมายแล้ว แต่ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงคงจะดีไม่น้อย

7. เขาคือไอดอลของนักเตะในยุคนั้น

คุณจะสามารถจำกัดความคนๆหนึ่งได้ดี ผ่านคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมงานรอบๆกายของเขา ซึ่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนปัจจุบันอย่าง แกเรธ เซาธ์เกต เรียกไบรอัน ร็อบสันว่าเป็น "ฮีโร่นักกีฬา" ของตัวเขา

ในขณะที่ แกรี่ ลินิเกอร์ มองเขาว่าอยู่ในระดับเดียวกัน "แม้ตอนที่ผมได้ลงเล่นร่วมกันในทีมเดียวกับเขา ผมยังรู้สึกครั่นคร้ามไบรอัน ร็อบสันเลย เขาเป็นนักฟุตบอลที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนอย่างมาก"

เดวิด เบ็คแฮม กล่าวถึงร็อบสันว่า "ในยามที่บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เปรียบเสมือนพ่อของผม ไบรอัน ร็อบสันก็เป็นเช่นนั้นสำหรับผมเหมือนกัน และจะเป็นเสมอไป ไบรอันเติมเกมได้สุดยอดมาก แถมยังเข้าปะทะ และเล่นรับได้อีก ให้ผมทำขนาดนั้นแบบเขาไม่ได้แน่"

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวว่า

"เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลในห้องแต่งตัว เป็นที่ชื่นชมของเพื่อนนักเตะ เป็นสุดยอดกัปตันทีม และกล้าหาญ ขาหักมาสามครั้ง กระดูกไหปลาร้าหัก เจ็บแฮมสตริงมาเป็นร้อยกว่าครั้ง มีอาการบาดเจ็บข้อเท้า แต่ยังลงเล่นได้จนถึงอายุ 37!"

"สิ่งเหล่านี้มันบ่งบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขาได้เป็นอย่างดี โอ้ มันมหัศจรรย์มากๆเลยล่ะ เขาคอนโทรลบอลได้ดี เป็นตัวแทคเกิลที่เฉียบขาด จ่ายบอลเนี้ยบ และมีส่วนผสมกันของพละกำลังที่โคตรอึด กับการอ่านการเคลื่อนที่อย่างสุดยอด ซึ่งทำให้เขาเติมจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ขึ้นไปเจาะใส่กรอบเขตโทษคู่แข่งได้อย่างอันตรายมากๆ"

แต่ประโยคเด็ดที่สุดอาจจะมาจากแกรี่ เนวิลล์ ที่กล่าวถึงร็อบสันเอาไว้ว่า

"เขาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆสิ่งที่นักเตะแมนยูไนเต็ดควรมีในตัว"

"เขาใส่สุดชีวิตในทุกๆเกม และสิ่งที่ตามมาก็คือได้เลือดกลับมาด้วย เช่นเดียวกันกับหยาดเหงื่อ แล้วก็น้ำตา เขาคือผู้นำที่แท้จริง เมื่อเขาตะลุยเข้าใส่กรอบเขตโทษ เขาเล่นเหมือนกับทั้งชีวิตเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้น คุณจะเห็นได้เลยจากสีหน้าของเขา และก็วิธีการวิ่งเข้าไปของเขา ทุกๆสิ่งสำหรับเขาคือการต่อสู้ชิงชัยกัน"

และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือสิ่งที่แฟนแมนยูทุกคนก็คงจะทำเช่นเดียวกันถ้ามีโอกาสลงสนามให้แมนยูไนเต็ด และร็อบโบ้ก็ทำสิ่งเหล่านั้นให้เราอย่างสุดชีวิต แม้ว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาด้วยการเป็นแฟนบอลของนิวคาสเซิลก็ตาม

นี่คือเจ็ดข้อจากหลายๆเหตุผลที่ทำให้เขาคือตำนานของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ตำนานหมายเลขเจ็ด.. Bryan Robson

-ศาลาผี-

Reference

https://www.manutd.com/en/news/detail/seven-reasons-bryan-robson-is-a-manchester-united-icon

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด