:::     :::

ทำดีแทบตาย สุดท้ายไม่มีที่อยู่

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,980
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ฟุตบอลไทย มีอะไรแปลกๆ ให้เห็นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนตัว "กุนซือ" ตั้งแต่กลุ่ม บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน)​ เทคโอเวอร์สโมสรจาก ธ.กรุงไทย ตั้งแต่ปี 2009 พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น "บางกอกกล๊าส เอฟซี" มาจนถึง "บีจี ปทุม ยูไนเต็ด" ในปัจจุบัน พวกเขาใช้กุนซือไปแล้วถึง 13 คน

ส่วนใหญ่แต่ละคนจะคุมทีมไม่ครบเทอม แล้วโดนตะเพิดตกเก้าอี้ไปจนเป็นเรื่องเคยชินของแฟนบอลตัวยงหรือแฟนบอลทั่วไป ที่เห็นฉากเก่าๆ รีรันซ้ำๆ ทุกปี 

มีเพียง “ดุสิต เฉลิมแสน” คนเดียวเท่านั้นที่ทำสถิติคุมทีมยาวที่สุด คือ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน แถมพาทีมคว้าแชมป์เอ็ม-150 แชมเปี้ยนส์ชิพ และสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ฟุตบอลรีโว่ ไทยลีก มาครองเป็นครั้งแรก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา 


เรียกว่า “โค้ชโอ่ง” คือกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของสโมสร ก็คงไม่ผิดนัก

แต่การที่ทีมได้สิทธิ์ไปเล่นในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2021 รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเสือ สิง กระทิง แรด ของทวีปเอเชีย ทำให้บอร์ดบริหารตัดสินใจลดบทบาท “โค้ชโอ่ง” ให้ไปคุมทีมทีมพันธมิตรอย่าง ราชประชา 

พร้อมสนับสนุนอดีตแบ็คซ้ายทีมชาติไทย ยุคดรีมทีม ไปเรียนต่อระดับเอ ไปจนจบระดับสูงสุดอย่าง โปรไลเซนส์ 

แต่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมา เมื่อ “การท่าเรือ เอฟซี” ซึ่งไม่ปลื้มผลงานของ “โค้ชอู๊ด” สระราวุฒิ ตรีพันธ์ หลังทำทีมตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 


ทำให้ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ไปขอยืมตัว “โค้ชโอ่ง” มาคุมทีม “สิงห์เจ้าท่า” ในการสู้ศึกรีโว่ ไทยลีก ฤดูกาล 2021-22 

แน่นอนว่ากุนซือระดับแชมป์ไทยลีก จะไปคุมทีมลีกรองได้อย่างไร มันต้องคุมทีมในลีกสูงสุดมันถึงจะสมศักดิ์ศรี 

ทาง “บีจีพียู” ก็กระชาก “ออเรลิโอ วิดมาร์” กุนซือเลือดออสซี่ ที่เคยคุมทีมเมื่อปี 2017 เข้ามารับหน้าที่กุนซือก่อนหน้านี้แล้ว 

โดยทางสโมสรให้เหตุผลว่าต้องการคนมีประสบการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการไปเล่นฟุตบอลถ้วยเอเชีย แถมไลเซนส์ของ “วิดมาร์” เองก็อยู่ระดับโปรไลเซนส์ น่าจะมีความเหมาะสมกว่า 


ทุกอย่างเดินไปตามวิถีฟุตบอล

โดย “วิดมาร์” พาทีม “เดอะ แรบบิท” สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ฟุตบอลถ้วยสโมสรเอเชียได้เป็นครั้งแรก 

แม้ต่อมาจะตกรอบ เพราะแพ้ให้กับ “ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส” แชมป์เคลีกเกาหลีใต้ ด้วยการดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลา 120 นาที 1-1

แต่ผลงานโดยรวมชนะแฟนบอลไปเต็มๆ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้ “วิดมาร์” ด้วย 


พอเสร็จสิ้นภารกิจถ้วยสโมสรเอเชีย “บีจีพียู” ก็เข้าสู่โหมดป้องกันแชมป์รีโว่ไทยลีก ในสภาพทีมพิการ เพราะคีย์แมนอย่าง วิคเตอร์ คาร์โดโซ่, อันเดรส ตูเญซ และ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ นัดกันเจ็บ

ขณะที่แข้งไทยอย่าง ยอดรักษ์ นาเมืองรักษ์, เอร์เนสโต้ ภูมิภา และ ชิดชนก ไชยเสนสุรินธร อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่ตัวหลัก แต่มันส่งผลให้ตัวเลือกในทีมมีน้อย ทำให้การปรับทัพแต่ละนัดต้องใช้ผู้เล่นชุดเดิมลงสนามต่อเนื่องกันหลายเกม 

แต่ “วิดมาร์” ก็ค่อยๆ ปรับจูน พาทีมเก็บแต้มเรื่อยๆ 

แม้จะมีสะดุดแพ้ ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด และโปลิศ เทโร เอฟซี คาบ้านตัวเอง 2 เกมติดต่อกัน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมาชนะรวด 5 นัด 

แถมอัดทีมแกร่งอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ด้วย  แม้จะเพิ่งเสมอกับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี แบบน่าชนะ แต่คะแนนขึ้นไปทาบ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รองจ่าฝูงที่มี 26 แต้มเท่ากันแล้ว

แถมตามหลัง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด จ่าฝูงเพียง 3 แต้ม พร้อมกลับไปสู่เส้นทางการป้องกันแชมป์แบบเต็มตัว 

นอกจากนี้แข้งหลักอย่าง “คาร์โดโซ่” และ “ตูเญซ” ก็ฟิตกลับมาช่วยทีมแล้ว ขณะที่ “ดิโอโก้” เองก็ใกล้ฟิตกลับมาลงสนามเช่นกัน


ดังนั้นทุกอย่างกำลังเข้าทางทีมแชมป์เก่าพอดี 

แต่เหมือนฟ้าฝ่าลงกลางสนามลีโอ สเตเดียม เมื่อสโมสรประกาศแต่งตั้ง “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ที่เพิ่งลาออกจากการคุมทีม “สิงห์เจ้าท่า” หลังทำผลงานย่ำแย่แพ้ 2 เกมติดต่อกัน และทีมรั้งอยู่กลางตารางเข้ามาคุมทีมแทน “วิดมาร์” 

เจอแบบนี้ก็ทำเอาสาวก “เดอะ แรบบิท” ช็อกสิครับ เพราะ “วิดมาร์” ทำทีมมาดีๆ ดันโดนปลดกลางคัน 

ถ้าสโมสรปลด “วิดมาร์” ตั้งแต่แพ้ “กว่างโซ้งมหาภัย” และ “มังกรโล่เงิน” ยังพอเข้าใจได้


อย่างลืมว่าโปรแกรมต่อไปของทีมต้องออกไปเยือน หนองบัว พิชญ ที่พิชญ สเตเดียม ก่อนจะไปเยือนแพท สเตเดียม ของ การท่าเรือ เอฟซี ซึ่งทั้ง 2 ทีมกำลังทำผลงานร้อนแรงมาก 

หากทีมไม่สามารถคว้า 6 แต้มจาก 2 นัดนี้ รอรับก้อนหินและพายุน้ำลายจากแฟนบอลได้เลย ที่สำคัญยังอาจทำให้ไทม์มิ่งการลุ้นแชมป์ของทีมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้

ต้องมาดูกันว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของบอร์ดบริหารจะเป็นการตัดสินใจ “ถูก” หรือ” ผิด” อยู่ที่ผลงานในสนามแล้วละครับ 

แต่แอบเสียดายที่คนทำผลงานดีๆ ต้องมาลงเอยแบบนี้ ว่าแล้วคิดถึงเพลงดังของวง โปเตโต้ ที่ดังขึ้นมาในหัว 

“ทำดีแทบตาย สุดท้ายไม่มีที่อยู่”


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด