:::     :::

ขวบปีสีชมพูของ "ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์"

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,630
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เวลาของปี 2564 เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายกันแล้ว เชื่อว่าตลอดปีที่ผ่านมาแต่ละคนล้วนเจอจุดพลิกผันของชีวิตทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายไม่มากก็น้อย

ย้อนไปเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่พลิกไปพลิกมาเหมือนรถไฟเหาะในชีวิตลูกหนังของ “มิกกี้” ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์

โดยเริ่มจากได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาว พอคัมแบ็คกลับมาช่วยต้นสังกัด “มังกรโล่เงิน” โปลิศ เทโร เอฟซี ด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรง จนมีชื่อติดทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ อากิระ นิชิโนะ ในเกมอุ่นเครื่องกับ นครปฐม ยูไนเต็ด และ ไทยลีก ออลสตาร์ 


อะไรมันจะเพอร์เฟคขนาดนั้น! 

แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เมื่อไม่ได้รับการต่อสัญญายืมตัวกับ “มังกรโล่เงิน” ทำให้ต้องกลับไปยัง “ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด” ต้นสังกัดที่แท้จริง 

ทว่า “ลีโอ เชียงราย” ประกาศชัดเจนว่าเขาไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม และสามารถมองหาสโมสรต้นสังกัดใหม่ได้เลย

แต่ด้วยสถานการณ์ที่หลายสโมสรเจอปัญหาเรื่องการเงินจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงเป็นเรื่องยากจะมีใครกวักมือไปร่วมทีม

สุดท้ายกลายเป็น “เดอะ แรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ยื่นปากกามาให้เขาลงน้ำหมึกดึงไปร่วมทีมในช่วงเลกที่ 2 


นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของเจ้าตัวในปี 2564 

แต่ “เดอะ แรบบิท” ยึดระบบการเล่น 3-5-2 จึงเป็นเรื่องยากที่ “มิกกี้” ที่โดดเด่นในตำแหน่งปีกจะแจ้งเกิดและมีพื้นที่มากพอในการเบียดตัวจริงของทีม ซึ่งอัดแน่นไปด้วยแนวรุกชั้นเซียนอย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้, ธีรศิลป์ แดงดา และ สุมัญญา ปุริสาย 

ส่วนแฟนบอลเองก็ไม่ได้คาดหวังในตัวของ “มิกกี้” มากนัก ทว่าสุดท้ายเขาสามารถฉกฉวยโอกาสที่ “มุ้ย-ตั๊ก” บาดเจ็บ ด้วยการลงสนามในตำแหน่ง “กองหน้า”​ ตัวต่ำคู่กับ “ดิโอโก้” 

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการกดไป 5 ประตู กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญพา “เดอะ แรบบิท” คว้าแชมป์รีโว่ ไทยลีก ได้สำเร็จ 


กราฟชีวิตลูกหนังของ “มิกกี้” ยังพุ่งขึ้นไม่หยุด เมื่อมีชื่อติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ลงเล่นฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย แม้ผลงานของ “ช้างศึก” จะไม่น่าประทับใจ 

แต่ทุกเรื่องราวในและนอกสนามเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าให้ตัวเขาเติบโตขึ้นในเส้นทางนักฟุตบอล

ในฤดูกาล 2021-22 เขายังยึดตำแหน่งตัวจริงของ “เดอะ แรบบิท” อย่างเหนียวแน่น และพาทีมไปถึงรอบน็อคเอ้าท์ ฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนแพ้จุดโทษแก่ ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส บิ๊กทีมจากเคลีก เกาหลีใต้ ชนิดได้ใจแฟนบอลเต็มๆ 


ต่อด้วยกลับมาคว้าแชมป์ไดกิ้น ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ ด้วยการชนะ ลีโอ เชียงราย ไป 1-0 

ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่มีตก ทำให้ “สุมัญญา ปุริสาย” กลายเป็นส่วนเกินของทีมจนมีข่าวจะโบกมืออำลา ก่อนได้รับการเหนี่ยวรั้งในท้ายที่สุด 

ซึ่งฟอร์มร้อนแรงแบบนี้ทำให้เขาติดทีมชาติไทย ลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ที่ประเทศสิงคโปร์ แบบไร้ข้อกังขา 

เพราะตอนนี้เขาสถาปนาตัวเองเป็นแข้งตัวเอกในรีโว่ ไทยลีก เรียบร้อยแล้ว ด้วยผลงาน 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จากการลงโชว์เพลงแข้ง 12 นัดในลีก 


ล่าสุดเขาได้รับโอกาสจาก “มาโน่ โพลกิ้ง” ให้ลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมเจอ ติมอร์ เลสเต้ ซึ่งเขาไม่ทำให้กุนซือทัพ “ช้างศึก” ต้องผิดหวัง เมื่อทำประตูเบิกร่อง ก่อนพาทีมเอาชนะด้วยสกอร์ 2-0 คว้า 3 แต้มประเดิมศึกชิงเจ้าอาเซียนอย่างสวยงาม 

แน่นอนว่ากว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ เขาต้องผ่านความยากลำบากในชีวิต ทั้งคำดูถูก อาการบาดเจ็บ จนแทบจะหันหลังให้ “ฟุตบอล” ที่เขาอุทิศตนให้ 

แต่ด้วยความมุมานะ และความเป็นนักสู้ที่อัดแน่นอยู่ใน DNA ผลักดันให้ตัวเขาหลุดจากหมอกร้ายมาเจอฟ้าใหม่ที่สดใสกว่าเดิม 


มันจะดีกว่านี้หากเขาพา “ช้างศึก” คว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ มาครองได้ 

นั่นคงเป็นโบนัสชิ้นใหญ่ตอบแทนความเป็นนักเตะสู้ของเขาได้เป็นอย่างดี

และน่าจะเป็นของขวัญให้แฟนบอลไทยในช่วงปีใหม่ปี 2565 อีกด้วย  

ตอนนั้นคงพูดได้เต็มปากว่าโลกลูกหนังของ “มิกกี้” กลายเป็นสีชมพูและเป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้งเลยก็ว่าได้


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})