:::     :::

เกมรุกหยุดเกมรุก

วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ ฉันดูบอลที่ร้านเหล้า โดย ดากานดา
2,702
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ก่อนแมตช์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ รอบชิงชนะเลิศนัดแรก ระหว่าง ไทย พบ อินโดนีเซีย จะเริ่มขึ้น หลายคนคาดว่าน่าจะเป็นเกมที่ตึง และ "อึดอัด"

เพราะรอบไฟนอลรายการนี้ ต้องฟาดตีนกัน 2 นัด แถมไม่มีกฎอเวย์โกลมากวนใจ ทั้งคู่จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องใส่กันให้ยับตั้งแต่เกมแรก

โดยเฉพาะฟาก “ช้างศึก” ที่ขาดคีย์แมนหลักอย่าง ธีราทร บุญมาทัน ที่ติดโทษแบน

อินโดนีเซีย ของ ชิน แท-ยง แกนหลักในทีมอาจเป็น “คนรุ่นใหม่” แต่พวกเขาพาสเจอไรซ์ฝีตีนให้เห็นแล้วในรายการนี้ถึงเกมรุกสุดสะเด่า อัดไปถึง 18 ตุง ในทัวร์นาเมนต์ เด็ก ๆ พร้อมเล่นตามแท็คติก มีจุดเด่นที่เกมริมเส้นรวดเร็วปานจรวด

กับไลน์อัพที่ออกมาก่อนเกมเริ่ม 1 ชั่วโมง ทัพช้างศึก มีการเปลี่ยนทีมจากนัดเสมอ เวียดนาม 0-0 ถึง 7 ตำแหน่ง ยิ่งย้ำแนวคิดข้างต้นว่า วันนี้มาแบบเพลย์เซฟแน่

ไม่ได้ตะบี้ตะบันบุก เน้นครองบอลหาจังหวะเข้าทำงาม ๆ บนความไม่ประมาทคู่ต่อสู้

แต่ไม่ใช่สำหรับ มาโน โพลกิง

แม้จะไร้ ธีราทร หรือโรเตชันผู้เล่นถึง 7 ราย แต่ช้างศึกวันนี้ไม่ต่างจากนักแสดงใน 4 Kings ที่เห็นคู่ต่อสู้อยู่ตรงหน้าแล้วตะโกน ไทยโว้ยยยยยย ก่อนบุกเข้าใส่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

เจ ชนาธิป ซัดขึ้นนำตั้งแต่ยังไม่ถึง 2 นาทีแรก


จากนั้นรูปเกมยังเป็นแบบเดิม แบ็คซ้าย-ขวา อย่าง ทริสตอง โด และ ฟิลิป โรลเลอร์ ผลัดกันเติมเกมอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้หวั่นว่าจะ “โดนสวนกลับ” แม้แต่น้อย

ตัวแสบอินโดนีเซียอย่าง อิรฟาน จายา และ วิตัน สุไลมาน ที่ ชิน แท-ยอง วางหมากมาหวังใช้ตลบเกมริมเส้นไทยให้หงายหลัง แต่ความเป็นจริงที่พบ ทั้งสองทำได้แค่ดรอปลงมาช่วยเกมรับเพื่อน จังหวะเกมสวนกลับแทบไม่มีให้เห็น หรือหากได้บอลปุ๊บ นักเตะไทยจะเข้ามาดีเลย์ ตัดเกมในแดนสูงทันที

อาจมี 2-3 จังหวะที่พาบอลกันขึ้นมาได้ แต่บอลพื้นที่สุดท้ายพวกเขากลับไม่นิ่งและ “เฉียบขาด” พอ

อีกความบ้าของ มาโน ในเกมนี้คือช็อตแก้เกมหลัง เอเลียส ดอเลาะ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟบาดเจ็บ เล่นต่อไม่ไหว

เกมนี้ไทยไม่มีชื่อ มานูเอล ทอม เบียร์ห บนม้านั่งสำรอง มองแบบไม่คิดอะไรมาก ปวีร์ ตัณฑะเตมีย์ ตัวเลือกเดียวที่มีอยู่ในตำแหน่งนี้ น่าจะถูกส่งลงมาช่วยแพ็กเกมรับ เพราะเป็นตำแหน่งที่ตรงตัว บอลนำอยู่ แถมรูปเกมเหนือกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องฝืน หรือเสี่ยง

แต่ไม่ใช่สำหรับ มาโน โพลกิง 


หมอนี่เลือกส่ง ปกเกล้า อนันต์ ลงมา พร้อมถอย วีระเทพ ป้อมพันธุ์ มิดฟิลด์ ลงมายืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่ กฤษดา กาแมน

ทำให้เซ็นเตอร์ไทย ไม่ใช่กองหลังอาชีพทั้งคู่

สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมตามมาคือ ทั้ง วีระเทพ กับ กฤษดา ช่วยกันเซ็ตบอล-บิวต์อัพเกม ตั้งแต่หน้าปากประตู อินโดจะขึ้นมาเพรสซิง กดดันแค่ไหน ทั้งสองก็สามารถพาบอลฝากไปให้กองกลาง หรือแดนหน้าได้อยู่ดี

พูดภาษาบ้าน ๆ ก็คือกะบุกให้คู่ต่อสู้ “โงหัวไม่ขึ้น”

มาโน กลายเป็นโค้ชที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบการเล่น เปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ปัจจุบันขณะ ไว้ใจขุมกำลังที่มีอยู่ทุกคน พร้อมเชื่อมั่นว่าส่งใครลงมาก็ “เล่นได้”

ครึ่งหลังอินโดนีเซียพยายามแก้เกม เซ็ตเปลี่ยนผ่านบอลให้ไวกว่าเดิม แต่ก็ถูกไทยจัดการได้อยู่หมัด จังหวะเพรสซิ่งไวทำให้พวกเขาเสียง่าย ๆ ในแดนตัวเองบ่อยหน

แท็คติก “สวนกลับ” ที่เตรียมนำมาใช้ กลับถูกไทยหยิบมาเล่นงานเสียเอง


ชนาธิป สรงกระสินธ์ เป็นศูนย์กลางเกมรุก พ่วงด้วยริมเส้นซ้ายขวา โด-บดินทร์ และ ฟิลิป-สุภโชค ที่บุกเป็นพายุ โดยมีธีรศิลป์คอยเก็บบอลในแดนหน้า บุกขึ้นมาอินโดมีลิ้นห้อย 1-1 แทบไม่เคยเอาอยู่ แม้จะถูกเคลียร์ทิ้ง ก็เหมือนอัดกำแพง ไทยก็บุกขึ้นมาระลอกใหม่อีก

สกอร์จบ 4-0 พูลสวัสดิ์

หากเปรียบเป็นมวย แม้ทางทฤษฎีจะมียกที่ 2 ให้ลุ้น แต่คะแนนที่ออกมายกแรกก็แทบ “อาร์เอสซี เอาท์คลาส” ไปแล้ว

อินโดนีเซีย แพ้ไทยแบบสู้ไม่ได้

และแพ้ให้ “ความบ้า” ของ มาโน โพลกิง ด้วย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด