:::     :::

ช่วงเวลาชี้ชะตาซีซั่น

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
2,290
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ทันทีที่ แดนนี่ เวลเบ็ค ขึ้นโหม่งประตูตุงตาข่ายให้ ไบรท์ตัน ตีเสมอในเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือความผิดหวังอย่างรุนแรงจากผู้เล่นของ เชลซี

         ผลเสมอ 3 จาก 4 เกมหลังในแบบที่ทีมควรจะเก็บชัยชนะได้ในทุกเกมเมื่อดูจากรายชื่อคู่แข่งอย่าง เอฟเวอร์ตัน, วูล์ฟแฮมป์ตัน และล่าสุดกับ ไบรท์ตัน ต้องบอกว่าทีมทำคะแนนหกเรี่ยราดทีเดียว

         อย่างที่รู้ว่าปัญหาหลักก็คือเรื่องการขาดหายไปของนักเตะ แต่ถ้าดูจากนักเตะที่ลงเล่นหรือแม้แต่ตำสำรองอย่างน้อยทั้งเกมกับ "หมาป่า" และ "นกนางนวล" ทีมควรจะได้สามแต้มไว้ครอบครอง

         แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้จะถูกมองว่านักเตะต้องกรำศึกหนักตามแบบฉบับฟุตบอลอังกฤษ แต่นี่ก็ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญว่าทีมพร้อมสำหรับการต่อสู้แย่งแชมป์รึเปล่า


         "เราควรจัดการยังไง? เรามีเคสโควิด 7 ราย เรามีนักเตะ 5-6 คนที่เจ็บ 6 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น" โธมัส ทูเคิ่ล ตอบแบบถอนหายใจหลังเก็บได้แค่แต้มเดียวในเกมล่าสุด

         "นี่คือสิ่งที่ผมกำลังพูด ผมแข่งขันอย่างหนักเพื่อเอาชนะ ไบรท์ตัน ในบ้าน ผมไม่รู้ว่าผมสามารถคาดหวังจากนักเตะยังไงในแง่ของร่างกาย, ความเข้นข้น หรือช่วงเวลาในการลงเล่น"

         "ไม่มีใครรู้อีกต่อไปเพราะเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เราลองผิดลองถูกและดูว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้าง ผมจะปกป้องทีม เราสามารถเล่นได้ดีกว่านี้แต่เราต้องการทีมที่พร้อมตลอดทั้งสัปดาห์"


         จากคำสัมภาษณ์ของนายใหญ่ชาวเยอรมันนั่นแสดงให้เห็นว่าทีมกำลังเจอกับปัญหใหญ่ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหาทางออกยังไงดีเหมือนกัน

         กับล่าสุดที่ทีมต้องเสียทั้ง เบน ชิลเวลล์ ที่เจ็บเข่าพักทั้งซีซั่น และ รีซ เจมส์ เจ็บจากเกมล่าสุดต้องพักยาวร่วมเดือนถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะนอกจากทีมจะเน้นในการเล่นเกมรุกทางริมเส้นเป็นหลักแล้ว ทั้งสองคนคือกำลังสำคัญที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ด้วย

         นั่นทำให้ทั้ง โธมัส ทูเคิ่ล และ จอร์จินโญ่ ยิ่งออกมาเรียกร้องให้พรีเมียร์ลีกยอมลดอีโก้หันมาเปลี่ยนตัวสำรองได้ 5 คน หลังหลายลีกทั่วยุโรปล้วนใช้กฎนี้ตามที่ฟีฟ่าอนุญาต


         แต่จนถึงตอนนี้เมื่อมันยังไม่เป็นอย่างที่หวังก็ต้องเดินหน้าแก้ปัญหาและฝ่าฟันวิกฤติที่มันยังอยู่

         เชื่อว่าอาจจะมีการขยับตัวในช่วงตลาดเดือนมกราคมนี้ได้เหมือนกัน เพราะเป้าหมายของทีมคือแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังจากที่ซีซั่นที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นจ้าวยุโรปมาแล้ว

         แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นสิ่งที่รอ เชลซี อยู่ก็คือสองเกมสำคัญที่จะต้องเล่นติดต่อกันด้วย

         หลังผ่านช่วงกระท่อนกระแท่นมา เกมถัดไปที่รอ "สิงห์บลูส์" อยู่ก็คือ ลิเวอร์พูล ถึงแม้จะเล่นกันที่สแตมฟอร์ด บริดจ์แต่เชื่อว่าเวลานี้อะไรก็เกิดขึ้นได้


         เพราะหากมองจากเกมรับของทีมในช่วงหลังที่เสียประตูกับเกมรุกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แล้วก็ถือว่าน่ากังวลอยู่แม้เกมล่าสุดจะยิงไม่ได้ก็ตามที ซึ่งเป็นเพียงเกมเดียวจาก 29 เกมหลังสุดเท่านั้น

         สามวันให้หลังทีมมีคิวลงเล่นในเกมคาราบาว คัพรอบตัดเชือกนัดแรกที่จะเปิดบ้านเจอกับ สเปอร์ส ตามด้วยวันที่ 8 มกราคมจะเปิดลงเล่นในบ้านอีกครั้งเจอ เชสเตอร์ฟิลด์ ในเกมเอฟเอ คัพ รอบที่ 3 

         หลังจากนั้นทีมจะต้องลงเล่นเกมเลกที่สองกับ สเปอร์ส ในเกมเลกที่สองของศึกคาราบาว คัพซึ่งก็ต้องอิงผลจากเกมแรกด้วยว่าโอกาสมากน้อยแค่ไหนกัน


         เมื่อเสร็จศึก "ลอนดอน ดาร์บี้" ในบอลถ้วยทีมต้องบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมพรีเมียร์ลีก ซึ่งหากมองจากตรงนี้ทีมต้องการชัยชนะสถานเดียวเพื่อรักษาโอกาสในการแย่งชิงโทรฟี่

         นั่นคือสิ่งที่ เชลซี อยู่ ซึ่งมันอาจจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในซีซั่นนี้ด้วยทั้งในลีกและบอลถ้วย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างที่ โธมัส ทูเคิ่ล บอกว่าทีมยังคงต้องแก้ไขสถานการณ์ปัญหาเรื่องนักเตะกันต่อไป เพราะตอนนี้เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะอะไรยังไงทั้งพวกติดโควิดและพวกที่ยังต้องดูว่าฟิตช่วยทีมได้รึเปล่า

         เอาเป็นว่าเริ่มต้นจากเกมเจอกับ ลิเวอร์พูล วันอาทิตย์นี้ก่อนเลย เพราะมันอาจจะเป็นตัวเพิ่มความมั่นใจหรือลดความมั่นใจได้


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด