สวิตเซอร์แลนด์  

    ขุนพลแดนนาฬิกาพลาดท่าพ่าย โปรตุเกส 1-3 ทำให้ต้องมาชิงอันดับ 3 โดยพวกเขามีผลงานแพ้ 5 จาก 10 นัดหลังสุด (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 5) ทว่าก็พ่ายเพียงนัดเดียวจาก 25 เกมก่อนหน้านั้น (ชนะ 17 เสมอ 7 แพ้ 1)

    วลาดิเมียร์ เพ็ตโควิช เทรนเนอร์ไม่มีปัญหาในการจัดทัพ แต่คาดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นบางคน โดยในรายของ เอดิมิลสัน แฟร์นานเดส และ นิโก้ เอลเวดี้ มีลุ้นออกสตาร์ทตัวจริง

    ขณะที่พวกแกนหลักหน้าเดิมๆ อย่าง ฟาเบียน แชร์, กรานิต ชาคา, เซอร์ดาน ชากิรี่ และ ฮาริส เซเฟโรวิช ยังอยู่พร้อมหน้าเหมือนเดิม

    อังกฤษ

    ทัพสิงโตแพ้ ฮอลแลนด์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-3 ซึ่งแต่ละลูกก็มาจากความผิดพลาดในแนวรับตัวเองทั้งนั้น ทว่านัดดังกล่าวก็เป็นการเสีย 3 ลูกเพียงแค่หนที่ 2 เท่านั้นจาก 79 นัดหลังสุด (แพ้ฝรั่งเศส 2-3 ในปี 2017) โดยหนล่าสุดที่พวกเขาโดนยิง 3 เม็ด 2 นัดติดต่อกันเกิดขึ้นเมื่อปี 1995 ที่พบกับ สวีเดน (3-3) และ บราซิล (1-3)

    แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือของทีมต้องลุ้นความพร้อมของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เจ็บข้อเท้ามาจากเกมล่าสุด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะ แฮร์รี่ เคน น่าจะได้ออกสตาร์ทอยู่แล้ว

    เป็นที่เชื่อว่านัดนี้คงมีการปรับทัพเปิดโอกาสให้นักเตะบางรายลงตัวจริง อาทิ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ และ เดเล่ อัลลี่

    11 ตัวจริงตามคาด

    สวิตเซอร์แลนด์ (3-5-1-1) : ยันน์ ซอมเมอร์ - ฟาเบียน แชร์, นิโก้ เอลเวดี้, มานูเอล อคานยี่ - เควิน เอ็มบาบู, เอดิมิลสัน แฟร์นานเดส, เดนิส ซากาเรีย, กรานิต ชาคา, ริคาร์โด้ โรดริเกซ - เซอร์ดาน ชากิรี่ - ฮาริส เซเฟโรวิช    

    อังกฤษ (4-3-3) : จอร์แดน พิคฟอร์ด - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, ไมเคิ่ล คีน, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, แดนนี่ โรส - เอริก ดายเออร์, ดีแคลน ไรซ์, เดเล่ อัลลี่ - เจดอน ซานโช่, แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ลิง

    ผู้ตัดสิน : โอวิดู ฮาเตกาน (โรมาเนีย)

    สนาม : เอสตาดิโอ ดอม อฟอนโซ่ เอ็นริเกส (โปรตุเกส)

    อังกฤษ ไม่ได้เล่นแย่อะไรเลยในรอบตัดเชือก แต่เป็นความผิดพลาดส่วนบุคคลที่ทำให้ตกรอบ นัดนี้ยังไงก็ดูเหนือกว่า สวิตเซอร์แลนด์ พอสมควร แม้ขุนพลแดนนาฬิกาจะแกร่งไม่เบา ทว่าสุดท้ายแล้วยังเชื่อใจทีมสิงโตว่าจะบดเอาชนะไปจนได้

    ผลที่คาด

    สวิตเซอร์แลนด์ แพ้ อังกฤษ 1-2