เก็บตกสถิติพรีเมียร์วีก 6
1 ) เหนือ 'วาร์ดี้' ยังมี 'มินนี่'
รีแมตช์ "จิ้งจอก-หงส์" จบลงอย่างระทึก ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เกือบควานหาชัยชนะไม่เจอเป็นนัดที่ 5 ติดต่อกัน หากไม่ได้ ซิมง มิโญเล่ต์ เซฟจุดโทษช่วยทีมเอาไว้
ไม่แปลกใจที่ เคร็ก เช็คสเปียร์ กุนซือทัพจิ้งจอกเข็นเอา เจมี่ วาร์ดี้ ลงสนามเพราะแม้ร่างกายยังไม่เต็มร้อย แต่สถิติเจอหงส์ดีเยี่ยม ประตูล่าสุดทำให้เจ้าตัวยิงลิเวอร์พูลไปแล้ว 6 ประตูจาก 4 นัด และควรจะเป็น 7 ประตูด้วยซ้ำ
ทว่า มิโญเล่ต์ ที่เป็นคนทำเสียจุดโทษก็ตอกย้ำความยอดเยี่ยมในการป้องกันลูกนิ่ง 12 หลาของ วาร์ดี้ ทำให้ตอนนี้มีสถิติเหลือเชื่อ เซฟโทษได้ถึง 7 จาก 15 ครั้งนับตั้งแต่ย้ายมาลิเวอร์พูลซึ่งเท่ากับ ปีเตอร์ เช็ก + ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล + ติโบต์ กูร์กตัวส์ รวมกันทั้ง 3 คนอีกต่างหาก!!!
อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องรีบแก้ไขคือ เกมรับ ที่โอนเอนไปมาเช่นเคย และนับเฉพาะเกมเยือน 3 นัดหลังสุด หงส์แดง เสียไปแล้วถึง 10 ประตู ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่กองหลังรั่วได้ขนาดนี้นับตั้งแต่เข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีก
ตอนนี้มีเพียง เลสเตอร์, เวสต์แฮม และ คริสตัล พาเลซ เท่านั้นที่เสียประตูมากกว่าลิเวอร์พูล และทั้งหมดอยู่ใน 5 อันดับล่างของตาราง
ซิมง มิโญเล่ต์ ยังคงยอดเยี่ยมในการป้องกันจุดโทษ
2 ) จารย์กู้หลอนนักบุญ
ในเกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดบุกชนะเซาธ์แฮมป์ตัน 1-0 โอกาสลุ้นยิงประตูเป็นทางฝั่งนักบุญที่มากกว่าด้วยซ้ำที่ 14 : 9 ครึ่งหลังเห็นชัด ครองบอลบุกเข้าใส่ผีแดงต่อเนื่อง ขาดเพียงความเฉียบขาดในการทำประตูตีเสมอ
โรเมลู ลูกากู ทำประตูที่ 6 จาก 6 นัดในพรีเมียร์ลีก เป็นสถิติการออสกตาร์ตยอดเยี่ยมเท่ากับ หลุยส์ ซาฮา และนี่ยังเป็นการยิงเซาธ์แฮมป์ตันอีกครั้งของหัวหอกทีมชาติเบลเยียมหลังเคยทำได้ทั้งยุคที่เล่นให้ เวสต์บรอมวิช และ เอฟเวอร์ตัน
โรเมลู ลูกากู ยิงเซาธ์แฮมป์ตันได้หมดไม่ว่าจะเล่นให้เวสต์บรอมวิช, เอฟเวอร์ตัน และแมนฯ ยูไนเต็ด
3 ) หน้ามือ-หลังเท้า
สกอร์ 5-0 ที่แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านไล่ยำคริสตัล พาเลซ ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่เกินเลยนักเพราะสองทีมนี้ต่างกันสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็น จ่าฝูง-บ๊วย, เกมรุกดีสุด-เกมรับแย่สุด และมูลค่าทีมที่เทียบกันไม่ติด
เป๊ป กวารดิโอล่า เปิดใจหลังเกมว่าตอนนี้รู้สึกดียิ่งกว่าปีก่อนที่ชนะ 10 นัดติดจากทุกรายการด้วยซ้ำ เพราะแม้ฤดูกาลนี้จะมีสะดุดในเกมกับเอฟเวอร์ตัน แต่เกมรุกยิงได้มากกว่า และเกมรับเสียน้อยลง
8 นัดผ่านไปในทุกรายการ แมนฯ ซิตี้่ ยิงกระจาย 29 ประตู มากที่สุดที่เคยทำได้ และยิง 5 ประตูขึ้นมา 3 นัดติดในลีกแล้ว ทีมสุดท้ายที่เคยทำได้คือ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปี 1958 และด้วยเกมรุกที่ว่านี้ทำให้ครองจ่าฝูงเดี่ยวๆ จากประตูได้-เสียที่ดีกว่าผีแดงซึ่งก่อนเกมตีคู่กันมาแบบเท่ากันทุกประการ
ส่วนการชันสูตร คริสตัล พาเลซ พบว่า พวกเขาคือทีมแรกในลีกฟุตบอลอังกฤษ (รวมทุกดิวิชั่น) ที่แพ้ 6 นัดรวด และยิงไม่ได้เลย ขณะที่โปรแกรม 2 นัดต่อไปคือ เยือนแมนฯ ยูไนเต็ด และเล่นในบ้านพบเชลซี
โชคดีครับปู่รอย!!!
ลีรอน ซาเน่ นำแมนฯ ซิตี้ ไล่ถลุงคริสตัล พาเลซ
4 ) คิง ออฟ ลอนดอนดาร์บี้
เข้าสู่เดือนกันยายน ฟอร์มการถล่มประตูของ แฮร์รี่ เคน ไปได้สวยต่อเนื่องเมื่อกดอีก 2 ประตูพาสเปอร์สกำชัยเหนือเวสต์แฮมในศึกลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ พร้อมทำสถิติยิงเฉลี่ยดีกว่า เธียร์รี่ อองรี ตำนานดาวยิงของอาร์เซน่อล
ประตูเฉลี่ยของ เคน ในศึกผ่าเมืองอยู่ที่ 113 นาทีต่อ 1 ประตู ส่วนอดีตหอกปืนโตยิงได้ทุกๆ 114 นาที นอกจากนี้ นอกจากนี้ยังเพิ่มยอดทำประตูเป็น 131 ตอลดอาชีพค้าแข้ง มากกว่ากองหน้าขุนค้อน 30 คนหลังสุดรวมกันเสียอีก (122 ประตู)
ส่วนทางฝั่งผู้แพ้ มีสถิติของ ชิชาริโต้ มาฝาก ลูกโหม่งตีไข่แตกของเจ้าตัวทำให้ยิงในพรีเมียร์ลีกครบ 40 ประตู โดยเป็น 37 ประตูกับแมนฯ ยูไนเต็ด และทั้งหมดมาจากการยิงใน "เขตโทษ" ซึ่งมีเพียง ทิม เคฮิลล์ (56 ประตู) กับ จอห์น เทอร์รี่ (41 ประตู) ที่ทำได้มากกว่าสำหรับนักเตะที่ยิงในเขตโทษทุกประตู
แฮร์รี่ เคน ชอบมากกับการเล่นในลอนดอน ดาร์บี้แมตช์
5 ) ตรงเป็นตุง
เชลซี ไล่ล่าสองทีมแมนเชสเตอร์อย่างไม่ลดละด้วยชัยชนะที่สโต๊ค ซิตี้ 4-0 จากแฮตทริกของ อัลบาโร่ โมราต้า ที่เริ่มฤดูกาลแรกในพรีเมียร์ลีกได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน และทำให้สาวกสิงห์บลูส์ที่ยังมีอาการเสียดาย ดีเอโก้ คอสต้า อยู่บ้างได้อุ่นใจมากยิ่งขึ้น
โมราต้า แฮตทริกจากการยิงด้วย "เท้า" ทั้งหมด ต่างจาก 3 ประตูแรกก่อนหน้านี้ที่มาจากการ "โหม่ง" ล้วนๆ และกลายเป็นแข้งเชลซีคนที่ 17 ที่ทำแฮตทริกได้ในพรีเมียร์ลีก มีเพียงอาร์เซน่อลที่มากกว่า (19 คน) นอกจากนี้เจ้าตัวยิงทำไปแล้ว 2 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้ กลายเป็นมีส่วนร่วมในทุกประตูมากกว่าทุกคนในลีกแล้ว
มีสถิติอีกอย่างที่บ่งบอกความเฉียบคมของเกมรุกเชลซีเมื่อทั้ง 4 ประตูที่ทำได้มาจากการยิงตรงกรอบ 4 ครั้ง เรียกได้ว่า "ตรงเป็นตุง" เลยทีเดียว
อัลบาโร โมราต้า (ที่ 2 จากซ้าย) หอบลูกบอลกลับบ้านหลังทำแฮตทริกแรกในการเล่นพรีเมียร์ลีก