ชัยชนะเหนือ ไนจีเรีย ต่อลมหายใจให้ทัพ อาร์เจนติน่า ยังคงอยู่ในเวิลด์ คัพฉบับรัสเซีย
งานนี้ต้องขอบคุณแก๊งค์ "อินทรีมรกต" ที่ถือว่าเป้นทีมที่มอบโชคสองชั้นให้กับทีมของ ฮอร์เก้ ซามปาโอลี จากที่เอาชนะ ไอซ์แลนด์ ช่วยให้ยังมีความหวังกันอยู่ แถมยังมาแพ้ให้กับทัพ "ฟ้า-ขาว" จนมีทุกวันนี้
ถือว่าได้เฉลิมฉลองกันบ้าง และมัน "สุด" ยิ่งกว่าเข้ารอบแบบง่ายดายเกินไป การลุ้นแบบใจหายใจคว่ำช่วยเพิ่มอารมณ์ความรู้สึกให้กับกองเชียร์มากกว่าเดิม
ลุ้นกันขนาดไหนนึกเอาว่าถึงขั้นที่ ดีเอโก้ มาราโดน่า แทบจะเป็นลมคาสนามกันเลยทีเดียว
"ขอแค่เข้ารอบไว้ก่อนเหอะ" คือสิ่งที่แฟนอาร์เจนติน่าทั่วทั้งโลกคิด
สุดท้ายเข้ารอบสำเร็จ โคจรไปพบกับ ฝรั่งเศส ที่ถือเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ประจำปีนี้ แต่ว่ากันตามตรงฟอร์มลูกทีม ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ก็ไม่ได้ถือว่าดีกว่าสักเท่าไรหรอกเมื่อดูจากผลงานในสนาม แม้ว่าจะเข้ามาในฐานะแชมป์กลุ่มก็ตามที
ไม่ว่าแฟนบอล "ฟ้า-ขาว" หรือต้องมีคิดกันว่าการเข้ารอบมาได้แบบนี้จะเป็นการ "ปลุกผี" ให้รองแชมป์เก่ากลับมาอยู่ในเส้นทางการเล่นแชมป์หรือไม่
และด้วยการที่ไม่ได้ถูกมองว่าจะเป็นตัวเต็งนี่แหละอาจจะทำให้การมาแบบเงียบๆพร้อมความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณนี่แหละที่น่ากลัว
รวมหลายปัจจัยเข้าด้วยกันไม่แน่ว่าจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ถึงขึ้นก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์กับเค้าได้เหมือนกัน
ผ่านความลำบากยากเข็ญ
อาร์เจนติน่า ที่ได้รับการคาดหมายกันแต่แรกว่าควรจะจบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่มเหนือคู่แข่งอย่าง โครเอเชีย, ไอซ์แลนด์ และ ไนจีเรีย ทันทีที่รู้ผลการจับสลาก
ทว่าเพียงเกมแรกกลับทำได้แค่เสมอกับ ไอซ์แลนด์ 1-1 ชนิดที่ควรได้รับชัยชนะแต่ทว่า ลิโอเนล เมสซี่ ยิงจุดโทษพลาด ลดทอนความมั่นใจลงไปเยอะทีเดียว กระทั่งเกมที่สองทุกอย่างดูจะพังทลายลงเมื่อโดน โครเอเชีย สอนบอลไปด้วยสกอร์ 0-3
แต่การที่ ไนจีเรีย ช่วย (ตัวเองด้วย) เอาชนะ ไอซ์แลนด์ ช่วยรักษาความหวังในการลุ้นแชมป์ให้กับทีม "ฟ้า-ขาว" ไปในตัว
ถึงกระนั้นในเกมสุดท้ายกับทัพอินทรีมรกตที่ขุนพล "อัลบิเซเลสเต้" ต้องการชัยชนะเพียงสถานเดียวกับใช่ว่าจะราบรื่นซะเมื่อไร ต้องลุ้นกันจนถึงท้ายเกมกว่าจะเบียดเอาชนะมาได้ 2-1 ขณะที่ทีมตราหมากรุกก็ช่วยเอาชนะ ไอซ์แลนด์ ทำให้ทีมเข้ารอบมาได้แบบหวุดหวิดและหืดขึ้นคอกันเลยทีเดียว
ถือเป็นการ "ข้าม" อุปสรรคแรกไปได้สำเร็จ รอดพ้นความล้มเหลวแบบใจหายใจคว่ำกันไป
แรงบันดาลใจเปี่ยมล้น
ภายหลังความพ่ายแพ้ให้กับ โครเอเชีย ดูเหมือนความสปิริตภายในทีมจากข่าวที่ออกมาจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆและยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
นักเตะแต่ละคนเล่นกับแบบไร้ใจ เหมือนกับว่ายอมรับสภาพกับความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะ ลิโอเนล เมสซี่ ที่บ่อยครั้งภาพจับไปเห็นว่าเขายืนนิ่งไม่รู้ว่าจะทำยังไง
แต่ในเกมกับ ไนจีเรีย ดูเมือนว่าทุกคนจะกลับมารวมใจกันอีกครั้ง และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ เพราะมันอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของนักเตะหลายคนในทีมที่จะได้เล่นฟุตบอลโลก
สุดท้ายทีมก็รวบรวมพลังกันมาอีกเฮือกและฮึดเบียดเอาชนะไปได้ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จในที่สุด
ความสำคัญของชัยชนะไม่ใช่แค่ผ่านเข้ารอบได้ แต่มันรวมถึงกำลังใจ แรงจูงใจ ความมุ่งมั่นที่เพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย
ไร้ความกดดัน
อาร์เจนติน่า เดินทางลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 โดยที่ไม่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นอันดับต้นๆที่จะคว้าแชมป์โลกอยู่แล้ว
ดูจากสภาพทีมถือว่าเป็นรองทั้ง เยอรมัน, บราซิล, ฝรั่งเศส, สเปน หรือกระทั่งพวก อังกฤษ หรือ เบลเยี่ยม ด้วยซ้ำไป
และเมื่อผลงานออกสตาร์ทในสองเกมแรกออกมาอย่างที่เห็น ยิงไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสุดท้านทัพ "ฟ้า-ขาว" จะไปได้ไกลถึงขนาดเมื่อสี่ปีที่แล้ว
หรือแม้กระทั่งในตอนนี้ที่ทีมผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ทุกคนก็ยังมองข้ามว่า อาร์เจนติน่า คงจะจอดที่รอบนี้ด้วยน้ำมือของหนึ่งในทีมเต็งอย่าง ฝรั่งเศส แน่
แต่ถามว่าด้วยฝีมือของ ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ แฟนบอล "ตราไก่" เชื่อใจหรือไม่ ก็คงต้องบอกเลยว่า "ไม่" เพราะที่ผ่านมาผลงาน ฝรั่งเศส เองก็ไม่ถือว่าดีอะไรมากมาย
และฟุตบอลนัดเดียวแบบนี้ กับความกดดันที่น้อยกว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์ก็เป็นได้
เมสซี่มาแล้ว
หนึ่งในนักเตะที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในฟุตบอลโลกหนนี้หนีไม่พ้น ลิโอเนล เมสซี่ ของ อาร์เจนติน่า อย่างแน่นอน
ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทั้งผลงานที่ยอดเยี่ยมกับ บาร์เซโลน่า, ฝีเท้าที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในโลก, การพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเมื่อสี่ปีก่อน และนี่อาจจะเป็นฟุตบอลโลกหนสุดท้ายที่เจ้าตัวจะอยู่ในฟอร์มสุดยอดแบบนี้ รวมๆกันแล้ว ควรจะเป็นเวิลด์ คัพที่สตาร์กัปตันทีมจะระเบิดทุกอย่างที่มีออกมา
แต่ทว่าแค่เกมแรกกับ ไอซ์แลนด์ ก็เรียกได้ว่า "งามไส้" นอกจากผลงานส่วนตัวจะแย่แล้ว ยังกล้าๆยิงจุดโทษพลาดจนทำให้ทีมมีแค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น
เท่านั้นไม่พอในเกมที่สองกับ โครเอเชีย ยิ่งหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ายิงประตูไม่ได้ เรียกได้ว่าหายไปจากเกมเลยดีกว่า บอลแทบมาไม่ถึง เจ้าตัวก็แทบจะเดินเล่นอยู่แล้ว จบเกม 90 นาทีเหงื่อยังไม่ออกเลยมั้ง
กระทั่งในเกมสุดท้ายกับ ไนจีเรีย การเบิกสกอร์แรกของตัวเองดูจะเพิ่มความมั่นใจให้กับดาวเตะจากเจ้าบุญทุ่มอย่างมหาศาล ซึ่งมันส่งผลดีกับเจ้าตัวเองรวมถึงทีมชาติด้วย
และเมื่อผลการแข่งขันจบด้วยชัยชนะ ทีมเข้ารอบ ยิงประตูได้ ผลงานดี ทุกอย่างเป็นใจให้ทั้งหมดซึ่งความมั่นใจของ เมสซี่ อาจจะนำพาความมั่นใจมาสู่เพื่อนร่วมทีมได้อีกด้วยในการทำศึกที่รออยู่
มาช้ายังดีกว่าไม่มา
โดยปกติแล้วกับทีมระดับ อาร์เจนติน่า, การผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกดูไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรงสักเท่าไร
แต่กับหนนี้ ต้องลุ้นกันถึงเกมสุดท้ายกว่าที่จะการันตีเข้ามาสู่ศึกที่รัสเซียได้ เล่นเอาแฟนบอลหายใจไม่ทั่วท้อง
ตลอด 18 เกมในรอบคัดเลือด ขุนพล "ฟ้า-ขาว" ยิงประตูได้น้อยอย่างเหลือเชื่อเพียงแค่ 19 ลูกเท่านั้น แม้ว่าจะเสียเพียง 16 ประตูก็ตามที แปรเปลี่ยนเป็นชัยชนะได้แค่ 7 เกม เสมอ 7 เกม และแพ้ไป 4 เกม แถมมีบางช่วงที่หลุดวงโคจรจนถูกมองว่าอาจจะปิ๋วไม่ได้เล่นรอบสุดท้ายด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่าสภาพทุลักทุเลแบบที่แฟนบลอลทั่วโลกงงไปตามๆกัน
สุดท้ายทีมผ่านเข้ารอบสำเร็จ แต่ก็ยังต้องมากระเสือกกระสนดิ้นรนอีกครั้งในการผ่านรอบแบ่งกลุ่มเพื่อเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอาท์ให้ได้ แม้ทางจะไม่ได้สะดวกโยธินถึงขนาดเดินมาแบบง่ายๆ แต่อย่างน้อยถึงแม้ต้องคลานก็ยังมาจนได้
ถึงกระนั้นตอนนี้การคว้าแชมป์ดูจะเป็นเรื่องห่างไกลอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว
ไม่แน่ว่าสุดท้าย "เทพนิยาย" อาร์เจนติน่า อาจจะเกิดขึ้นในฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็เป็นได้
