:::     :::

เหตุผลที่ เยอรมัน ตกรอบ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เพราะเหตุใด เยอรมัน ที่กร้าวแกร่ง ถึงตกรอบอย่างไม่เป็นท่า ? ค้นหาคำตอบกันได้ที่นี่

ช็อคกันไปทั้งโลกเมื่อ เยอรมัน พลาดท่าพ่าย เกาหลีใต้ 0-2 ตกรอบฟุตบอลโลกที่ รัสเซีย กลายเป็นแชมป์เก่ารายที่ 5 ที่ตกรอบแรกในปีแห่งการป้องกันแชมป์ และนับเป็นรายที่ 3 ติดต่อกันนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2010 เป็นต้นมา 

ที่ แอฟริกาใต้ ปี 2010 อิตาลี แชมป์เก่าจากปี 2006  ตกรอบแรกด้วยการเป็นบ๊วยของกลุ่ม ต่อมาบอลโลกปี 2014 ที่ บราซิล เป็นเจ้าภาพ แชมป์เก่า 'กระทิงดุ' สเปน โดน ฮอลแลนด์ ทุบดิ้น 1-5 ตามด้วยแพ้ ชิลี 0-2 หลุดวงโคจรตั้งแต่ 2 เกมแรก จนกระทั่งมาถึงคิวของ เยอรมัน ที่สถาปนาตัวเองเป็นแชมป์เก่าผู้บอบช้ำอีกราย 

ถามว่า : การตกรอบแรกของแชมป์เก่าทีมไหนที่น่าช็อคที่สุด ?

ตามความเห็น 'นัมเบอร์โฟร์' ก็ว่า ครั้งนี้นี่แหละ เพราะ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส , อิตาลี , สเปน เทียบผลงานใน เวิล์ด คัพ ที่ผ่านมาเราก็ยังเห็นเคยพวกเขาพลาดท่าตกรอบง่ายๆอยู่บ้าง

ยิ่งกับชาติอย่าง สเปน หรือ ฝรั่งเศส ก็เพิ่งจะประสบความสำเร็จเป็นแชมป์โลกแค่ครั้งเดียว ประกอบกับเกือบๆ หนึ่งศตวรรษ นับแต่ ชูล รีเม่ ผลักดันให้เกิดฟุตบอลโลกขึ้นครั้งแรกเมื่อ 1930,  ครั้งสุดท้ายที่ 'อินทรีเหล็ก' โบกมือลาการแข่งขันตั้งแต่ไก่โห่ ก็คือฟุตบอลโลกที่ ฝรั่งเศส ปี 1938 หรือเมื่อ 80 ปีที่แล้ว

80 ปี !! เกิดขึ้น 1 ครั้ง จะไม่ให้ช็อคได้อย่างไร นอกจากนี้ 'นัมเบอร์โฟร์' ยังเชื่อว่าผู้คนเกินค่อนโลก เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็น เยอรมัน ตกรอบแรกก็คราวนี้แหละ เพราะปี 1938 คงยากจะหาใครที่อยู่ในเหตุการณ์จริงได้

'นัมเบอร์โฟร์' เข้าไปอ่าน 'Kicker' สื่อกีฬายักษ์ใหญ่เยอรมัน พวกเขาใช้คำจัดกัดความถึงทีมของ โยอัคคิม เลิฟ ว่านี่คือ เยอรมันชุดที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ !

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม...การตกรอบของยอดทีมอย่าง เยอรมัน ทั้งยังเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของทีมย่านเอเชียอย่าง เกาหลีใต้ ก่อเกิดคำถามขึ้นมากมายว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? และอะไรคือสาเหตุ ?

 'นัมเบอร์โฟร์' เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของ เลิฟ อยู่หลายครั้ง ซึ่งในหลายครั้งที่ว่า มีอยู่ประโยคนึงที่บุนเดสเทรนเนอร์คนนี้มักพูดเกี่ยวกับทีมชาติเยอรมันซ้ำไปมาว่า "หลังจากคว้าแชมป์โลกสำเร็จ เราควรจะสร้างทีมขึ้นใหม่, สเปน ได้แชมป์ในปี 2010 จากนั้น ปี 2014 ด้วยทีมที่แทบจะเป็นชุดเดียวจากครั้งก่อน แล้วพวกเขาก็ตกรอบ "

"สเปน อุดมไปด้วยผู้เล่นที่สุดยอดก็จริง แต่ทุกอย่างล้วนต้องการการเปลี่ยนแปลง" 

ครับ ดังนั้นหากใครจะต่อว่า เลิฟ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาก็คงจะไม่ใช่ ความผิดของเขามันอยู่ที่ว่า พยายามที่จะทำอย่างนั้นแล้ว แต่มันดันทำไม่สำเร็จ ! 

ประเด็นแรกๆที่ขุดขึ้นมาถล่ม เลิฟ ก็คือการไม่เรียก เลรอย ซาเน่ มาติดทีม 

ตรงจุดนี้ ส่วนตัว 'นัมเบอร์โฟร์' ออกจะไม่เห็นด้วย เพราะ ยูเลียน บรันด์ท ปีกดาวรุ่งจาก เลเวอร์คูเซ่น ที่ เลิฟ เรียกมาติดแทน ถือเป็นผู้เล่นที่น่าประทับใจมากที่สุดของ เยอรมัน ชุดนี้ 

ตลอด 19 นาทีของไอ้หนูวัย 22 ในทัวร์นาเมนท์นี้ คือสิ่งดีๆเพียงไม่กี่อย่างของ เยอรมัน ที่มอบให้กับแฟนๆไว้ระลึกถึง นอกจากนี้ ที่แล้วมา ซาเน่ เองก็เคยปฏิเสธทีมชาติในการร่วมทำศึก ฟีฟ่า คอนเฟดฯ ด้วยเหตุผลอันไม่สมควรมาแล้ว  

สำหรับชาติใหญ่อย่าง เยอรมัน ที่มีตัวเลือกมากมาย วินัย ต้องนำหน้า ความสามารถ ครับ แม้ ซาเน่ จะเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์ หากแต่เมื่อทัศนคติยังไม่ได้ ผู้นำอย่าง เลิฟ ก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด 

อีกทั้ง หากจะบอกว่าเพราะ ซาเน่ ไม่มา เยอรมัน เลยตกรอบ ก็ดูจะเกินเลยไปหน่อย เพราะถึงจะมีเจ้าของรางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีของ พีเอฟเอ ก็คงสร้างความแตกต่างได้ไม่มาก เพราะ เยอรมัน ชุดนี้ เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง เกินกว่าที่นักเตะซึ่งอายุเพิ่งจะ 22 นิดๆ จะแบกไหว

เริ่มต้นกันที่ 'ภาวะขาดผู้นำ'

หลังการอำลาของ ฟิลิปป์ ลาห์ม กัปตันทีม, มิโลสลาฟ โคลเซ่ ดาวซัลโวสูงสุดฟุตบอลโลก และ แพร์ เมเตซัคเกอร์ ในปี 2014  และหมดยุคของ บาสเตียน ชไวสไตร์เกอร์ ในปี 2016 'อินทรีเหล็ก' ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครที่กร้าวแกร่งพอที่จะนำทัพได้เลย 

นักเตะซีเนียร์อย่าง เมซุต เออซิล หรือ ซามี่ เคห์ดิร่า ขาดบุคคลิกตรงนี้อย่างชัดเจน ขณะที่ มานูเอล นอยเออร์ ก็บาดเจ็บไปนาน อีกทั้งตำแหน่งของเขาคือผู้รักษาประตูที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาเพื่อปลุกปลอบขวัญนักเตะได้ทั้งสนาม ที่พอจะใกล้เคียงสุดก็เห็นจะเป็น มัทส์ ฮุมเมิลส์ เพียงคนเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้าตัวบาดเจ็บจนไม่ได้เล่นต่อเนื่อง 

เกมรับอันเชื่องช้า

หากไม่นับ อิยิปต์ (16) กับ เกาหลีใต้ (15) แล้วล่ะก็ เยอรมัน คือทีมที่โดนคู่ต่อสู้ยิงตรงกรอบมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ ซึ่งมันมากถึง 14 ครั้งด้วยกัน

เยโรม บัวเต็ง (โดนไล่ออกเกมกับ สวีเดน)  กับ ฮุมเมิลส์ (มีปัญหาบาดเจ็บ) คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟของทีม แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของพวกเขาเลย ทุกๆครั้งที่ต้องกลับตัววิ่งไล่ตามคู่แข่ง ดูเหมือนว่าทั้งคู่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เนื่องจากไม่มีความเร็วและปราดเปรียวที่มากพอ 

เม็กซิโก ทำให้เห็นว่าพวกเขารู้วิธีเล่นงานจุดอ่อนนี้ของ เยอรมัน ดีกว่าใคร จากการใช้จังหวะ 'เคาท์เตอร์แอทแทค' เปลี่ยนจากรับเป็นรุกอย่างรวดเร็ว 

ไม่มีดาวซัลโวที่แท้จริง

หลังหมดยุค โคลเซ่ ไปแล้ว เลิฟ ก็พยายามอย่างมากที่จะปั้นดาวยิงขึ้นมาใหม่ แต่จนแล้วจนรอดจากผู้เล่นชุดนี้ก็ไม่มีใครเป็นตัวหลักในแดนหน้าให้กับเขาได้เลย

หลังจบรอบคัดเลือก โธมัส มุลเลอร์ กับ ซานโดร วากเนอร์ (ไม่ติดทีม) นำเป็นดาวซัลโวสูงสุดร่วมกันที่ 5 ประตูเท่านั้น จากทั้งหมด 43 ประตู ที่ยิงได้ ส่วนอีก 33 ลูกที่เหลือ ได้กระจัดกระจายออกไปเป็นผลงานของนักเตะคนอื่นๆมากถึง 21 รายด้วยกัน ซึ่งพอเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้าย มันก็ส่งผลให้เห็นว่าทีมไม่มีเพชรฆาตที่สามารถพึ่งพาได้ ตีโม แวร์เนอร์ กองหน้าที่ เลิฟ มอบความไว้วางใจให้เป็นตัวจริง คลาสบอลยังห่างจากรุ่นพี่ๆ อีกเยอะ ทั้งยังรูปร่างเล็ก ไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าธรรมชาติ แต่ถนัดที่จะลากเลื้อยทางริมเส้นมากกว่า 

คิดไปแล้วก็น่าเสียดาย ว้ากเนอร์ อยู่ไม่น้อย เพราะเขาคือนักเตะสัญชาติเยอรมันที่ยิงประตูได้มากที่สุดใน บุนเดส ลีกา ฤดูกาลที่ผ่านมา โดยซัดไป 13 ลูกด้วยกัน 

พึ่งพา คิมมิช มากเกินไป

โจชัว คิมมิช เจ้าของ 9 แอสซิสต์จากรอบคัดเลือก ซึ่งมากที่สุดในบรรดากลุ่มนักเตะที่ลงเล่นรอบคัดเลือกโซนยุโรปและที่ผ่านมา เยอรมัน ก็มักพึ่งพาการครอสบอลอันแม่นยำของเขาอยู่เสมอๆเพื่อแก้ปัญหาการสร้างโอกาสเข้าทำ ทว่าฟุตบอลโลกหนนี้ทายาทของ ฟิลิปป์ ลาห์ม โดนจับตาจากคู่ต่อสู้ ซึ่งแก้ทางมาเป็นอย่างดี ทำให้ไม่สามารถเติมเกมรุกทางกราบได้มากอย่างที่เคย 

โครส ผู้โดดเดี่ยว

การเซตบอล,การคอนโทรลเกม,ไอเดียในการเล่น หรือแม้กระทั่งยิงประตู ล้วนแล้วแต่ตกอยู่บนบ่าทั้งสองข้างของ โทนี่ โครส ซึ่งบางครั้งความรับผิดชอบของเขาต่อทีมชาติมันดูมากเกินไป 

จินตนาการดูนะครับ..ทุกครั้งที่ทีมเซตบอลจากแดนหลังขึ้นมา มิดฟิลด์ เรอัล มาดริด จะต้องม้วนลงต่ำเพื่อรับบอลจาก บัวเต็ง หรือไม่ก็ ฮุมเมิลส์ จากนั้นเมื่อบอลขึ้นมาตรงกลาง  จากนั้นต้องเชื่อมต่อกับ เออซิล,มุลเลอร์ หรือไม่ก็ แดรกซ์เลอร์ เพื่อลำเลียงบอลจากกลางไปสู่หน้า 

ในทุกจังหวะการเล่นของทีม โครส ล้วนแล้วแต่ต้องพาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ตรงนั้น และเมื่อเขาเหนื่อยล้า หรือ ตีบตัน ก็แทบไม่มีใครเลยที่จะมาช่วยรับไม้ต่อ เมื่อหันไปมองก็เห็นแต่ เออซิล ไร้ไอเดีย  ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และ เคห์ดิร่า ที่เชื่องช้าเป็นเรือเกลือ รอเพียงแค่ไล่ตัดเกมจากคู่ต่อสู้  


ความวุ่นวายจากภายในและภายนอก

โลธ่าร์ มัทเธอุส กัปตันทีมชาติชุดแชมป์โลกปี 1990  แสดงความคิดเห็นสับแหลกว่า เลิฟ เอาแต่จัดตัวเก่าๆลงสนาม โดยเฉพาะกับ เออซิล กับ เคห์ดิร่า แค่เห็นหน้า 2 คนนี้ก็ใจคอไม่ดีแล้ว

นอกจากนี้ยังไร้ความปราดเรียว ไร้รีแอคชั่น ไร้ซึ่งคนปลุกขวัญเมื่อตกเป็นฝ่ายพลั้งพลาด แต่เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมน' บอกว่าภายในทีมมี "การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แยกเป็นก๊กเป็นเหล่าชัดเจน" ทำให้ทีมสปิริตเสียหาย

หนึ่งในเหตุการณ์ที่นำความวุ่นวายมาสู่ทีม ก็เห็นจะไม่พ้นการเข้าพบและถ่ายรูปกับ ทายยิบ เออร์โดกัน ประธานธิบดีตุรกี ของ 2 แข้งอย่าง อซิล และ อิลคาย กุนโดกัน ที่กรุงลอนดอน โดยเฉพาะรายหลังถึงขนาดเขียนข้อความในเสื้อแข่ง แมนฯซิตี้ ของตัวเองว่า "ขอมอบแด่ท่านประธานาธิบดีของผม" 

ครั้งนั้น แฟนบอลเยอรมันจำนวนไม่น้อยที่แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของ 2 แข้ง เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่า เยอรมนี กับ ตุรกี กำลังมีความขัดแย้งกันอย่างหนักจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายด้านของรัฐบาลของ เออร์โดกัน  ไม่ว่าจะเป็นการเนรเทศประชาชน,กลุ่มต่อต้าน และกวาดล้างสื่อมวลชนที่เห็นต่าง 

มีแฟนบอลโห่ใส่ กุนโดกัน ในเกมอุ่นเครื่องกับ ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงอดีตแข้งทีมชาติอย่าง สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก เรียกร้องให้มีการปลดทั้งคู่ออกจากทีมชาติ 

นัดกันฟอร์มตก

นอกจาก มุลเลอร์,เออซิล และ เคห์ดิร่า แกนหลักจากชุดแชมป์โลกที่ บราซิล ที่ตกเป็นเป้าโจมตีแล้ว เอาเข้าจริงผู้เล่นคนอื่นๆก็ควานหาฟอร์มเก่งกันไม่เจอเลย ไม่ว่าจะเป็น โยนาส เฮคเตอร์ แบ็กขวา ,เลออน โกเร็ตซ์ก้า  หรือ ตีโม แวร์เนอร์ กองหน้าดาวรุ่งตัวความหวังก็เล่นไม่ออก  บัวเต็ง ที่เคยแข็งแกร่งก็ไม่เหมือนเดิม รวมทั้งความผิดพลาดในจังหวะโขกลูกสำคัญของ ฮุมเมิลส์ ที่ถากไปโดนแค่หัวไหล่


ทั้งหมดทั้งมวล ควรพูดได้ว่านักเตะทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้ง เลิฟ ผู้กุมบังเหียน ซึ่งอนาคต ณ เวลานี้ยังไม่แน่ว่าเขาจะยุติบทบาทเทรนเนอร์ที่ยึดครองมายาวนาน 12 ปี หรือไม่ 

ทิ้งท้ายกับคำถามสำคัญ

"เยอรมัน จะก้าวเดินไปในทิศทางใด แฟนๆสามารถตั้งความหวังกับทีมชาติของตัวเองได้แค่ไหน ?"

ในความมืดมนที่รายล้อม 'อินทรีเหล็ก' มีแสงสว่างรำไรรออยู่ในกาลข้างหน้า เมื่อหันไปมองที่ทีมชุดเล็ก ยู-21 ที่เพิ่งจะคว้าแชมป์ยุโรปไปครองเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา 

ขุมกำลังเหล่านี้ที่ไม่ได้มาปรากฏโฉม คือความหวังที่จะพาทัพ 'อินทรีเหล็ก' กลับมาผงาดเป็นทีมแถวหน้าของโลกได้อีกครั้ง 

สัจธรรมของโลกคือ..ไม่มีใครยิ่งใหญ่ค้ำ หากแต่ในนัยยะแฝงก็ไม่มีใครพ่ายแพ้เสมอไปเช่นกัน 

ก็ได้แต่หวังว่าขุมกำลังดาวรุ่งรุ่นต่อไป จะก้าวขึ้นมาอย่างกร้าวแกร่ง เพื่อกอบกู้เกียรติยศศักดิ์ศรีของทีมให้กลับมา เหมือนเช่น เออซิล,บัวเต็ง,นอยเออร์ และ เคห์ดิร่า ที่ก้าวจากชุดแชมป์ยู-21 ในปี 2009 ก่อนจะกลายเป็นแกนหลักช่วยให้ เยอรมัน เป็นแชมป์โลกในปี 2014 

                             นัมเบอร์โฟร์


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด