หลังได้รับอิสรภาพจาก ยูโกสลาเวีย โครเอเชีย หรือทีม “ตราหมากรุก” ถูกเนรมิตขึ้นปี 1990 ก่อน 3 ปีถัดมาพวกเขาได้ “ใบอนุญาต” เป็นสมาชิกฟีฟ่าสำเร็จ (แบบที่ไม่ต้องให้บิ๊กตำรวจมาโชว์พราวถามหา)
เดบิวต์ทัวร์นาเมนต์ระดับใหญ่ทางการ ในยูโร 96 ที่เมืองผู้ดี ด้วยการทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนตายด้วยน้ำมือ เยอรมัน ที่ฝ่าด่านไปคว้าแชมป์ในเวลาต่อมา
2 ปีล่วงผ่าน “ตราหมากรุก” สวมวิญญาณเด็กช่าง “พ่อทุกสถาบัน” ในฟรองซ์ 98 ด้วยการคว้าอันดับ 3 มาเชยชมอย่างผงาด ด้วยการกระทืบโคตรทีมอย่าง เยอรมัน และ เนเธอร์แลนด์ คาแดนน้ำหอม
ดาวอร์ ซูเคอร์ หยิบดาวซัลโวทัวร์นาเมนต์
ซโวนิเมียร์ โบบัน คือตำนานหมายเลข 10 ตราหมากรุก ยากหาคนลบเลือน
โรเบิร์ต ยาร์นี่ แบ็กสปีด 9 คนแรกที่ถูกนึกถึงในเกม “วินนิ่ง”
นั่นคือยุคทองของทัพโครแอต ที่พาตัวเองขึ้นมาเป็นชาติฟุตบอลแนวหน้า หลังได้รับเอกภาพจากเซิร์บเพียง 8 ปี เป็น “ม้ามืด” ที่นอกจากกวางแล้ว ทุกชาติยังเหลียวหลัง
อย่างไรก็ตาม “ยุครุ่งเรือง” ที่ดังเป็นพลุแตก กลับค่อยเลือนหายคล้ายดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า สว่างวาบงดงามชั่วพริบตา ก่อนพบพาแต่ความมืดมิดและเงียบงัน
ฟุตบอลโลก 2002 โครเอเชีย คือหนึ่งใน “ม้ามืด” ที่ถูกจับตาว่าจะมาสร้างเซอร์ไพรส์ในดินแดนเอเชีย แต่เปล่าเลย พวกเขาหาญกล้าชนะ อิตาลี แต่ทะลึ่งไปแพ้ เม็กซิโก กับ เอกวาดอร์ ซาโยนาระตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน
ฟุตบอลโลก 2006 ฉบับเมืองเบียร์ ทีมอยู่ร่วมสายกับ บราซิล, ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย ดูแล้วไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรง แต่ก็ยัง โบกมือลาแม่งแต่รอบแรกเหมือนเดิม ด้วยผลงานไม่ชนะใครมันเลยสักนัด
ฟุตบอลโลก 2010 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
ฟุตบอลโลก 2014 ตกรอบแรก
อกหักมันอยู่ร่ำไปในสนามรบสีเขียว ทั้งที่ศักยภาพทีมสมควรไปได้ไกลกว่านี้
จน เวิร์ด คัพ 2018 ฉบับรัสเซีย
โครเอรเชีย จบรองแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก ต้องตรากตรำไปเพลย์ออฟกับ กรีซ ถึงมี “ใบอนุญาต” เข้าแดนหมีขาว กระนั้นสถานะพวกเขาไม่ได้ถูกมองเป็นชาติ “ม้ามืด” ดังเคย
ยิ่งอยู่ร่วมสายกับ อาร์เจนตินา (เต็งแชมป์กลุ่ม) ไนจีเรีย และ ไอซ์แลนด์ น้องใหม่ไฟแรงเฟร่อออ ไม่มีใครกล้าฟันฉับว่า “ตราหมากรุก” จะหลุดไปยังรอบสองได้ แม้ทรัพยากรลูกหนังในทีมจะเป็นแข้งระดับโลกก็ตาม
นั่นเพราะผลงานที่ผ่านมา โครแอต คือผู้เชี่ยวชาญด้านการอกหัก ตกรอบแรกมันอยู่ร่ำไป
แต่หนนี้ดูเหมือนจะต่างไปจากทุกครั้ง….
ซลัตโก ดาลิช เฮดโค้ชโนเนมผู้ใช้ชีวิตอยู่กับเกมลูกหนังในตะวันออกกลาง เข้ามาคุมทัพโครแอตเมื่อปีกลาย เสกตราหมากรุกให้กลับมาน่าเกรงขามอีกหน
การทำทีมแบบเนิบๆ ไม่หวือหวาแต่ว่าคลาสสิก เน้นผลการแข่งขัน-ความรัดกุมในเกมมาก่อนสไตล์บอลสวยงาม เมื่อผสมรวมกับแข้งระดับเวิล์ดคลาส ส่งให้ โครเอเชีย กลายเป็นทีมที่ฟอร์ม โหดสัส รัชดา บางนา-ตราด
ตบกบาล ไนจีเรีย 2-0 กระโดดถีบ อาร์เจนตินา 3-0 หักแขน ไอซ์แลนด์ กลับบ้านเบาๆด้วยสกอร์ 2-1 เก็บ 9 คะแนนเต็ม เข้ารอบเป็นที่ 1 ของสาย ดวลเป้าชนะ เดนมาร์ก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนพักรบรอฟัดเจ้าภาพ รัสเซีย ในรอบควอเตอร์ไฟนอล
ยิ่งเมื่อมองไปที่สายการแข่งขันของทัพโครแอต ดูเหมือนจะเป็นใจให้เหลือเกิน เมื่อไม่ต้องชนกับเต็ง 1 อย่าง บราซิล, เบลเยี่ยม หรือ ฝรั่งเศส จนกว่าจะถึงรอบชิงชนะเลิศ
คู่ต่อสู้คือพลพรรคฝั่งยุโรป ที่ต่างล้วนรู้ทางกันดี และศักยภาพไม่ได้เหลื่อมล้ำกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย, สวีเดน หรือ อังกฤษ
อธิบายแบบเข้าใจง่ายคือ “กูบวกได้ทุกทีม”
กระนั้นสิ่งที่โครเอเชีย มีเหนือกว่าชาติที่กล่าวมา เห็นจะเป็นทรัพยากรระดับ “ซุป’ตาร์” ที่สามารสร้างความต่างในเกมรุกได้
ทีมมีนักเตะที่ค้าแข้งสโมสรชั้นนำอย่าง อย่าง ลูกา โมดริช, มาเตโอ โควาซิช (เรอัล มาดริด), อิวาน ราคิติช (บาร์เซโลน่า), มิลาน บาเดลจ์ (ฟิออเรนติน่า), มาร์เซโล โบรโซวิช, อิวาน เปริซิช (อินเตอร์ มิลาน), อังเดร ครามาริช (ฮอฟเฟ่นไฮม์) หรือ มาริโอ มานด์ซูคิช (ยูเวนตุส)
เรื่องประสบการณ์ลูกหนังไม่น่าห่วง ยิ่งขวบวัยผู้เล่นเหล่านี้อยู่ในช่วงพีกของอาชีพค้าแข้ง หากจะบอกทีมชุดนี้ “เริ่ดสะแมนแตน” กว่าชุดพ่อทุกสถาบันอันดับ 3 ฟรองซ์ 98 คงไม่ใช่เรื่องโม้เกินไปด้วยซ้ำ
ซลัตโก ดาลิช มีวัตถุดิบที่ลงตัวแล้ว หากเทส่วนผสมแท็คติกให้ดี เน้นเหมือนทุกเกมที่ผ่านมา เหยาะโชคชะตาเพิ่มหน่อย การไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศได้ คงไม่ใช่เพียงฝันกลางวัน
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการ “อกหัก” บนผืนหญ้ามาจนชินแล้ว
เปลี่ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญได้การ “ลุ้นแชมป์โลก” บ้างก็ดี…
พาทีมชุดนี้ลบภาพจำ โครเอเชีย เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ด้วยการไปให้ไกลกว่าเก่าที
