จากตำนานสู่ตำนาน... แข้งเวิลด์คลาสที่ฝันสลายในบอลโลก
ฟุตบอลโลกหนนี้เราคงหมดโอกาสได้เห็นนักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดของโลกในเวลานี้อย่าง “ลีโอเนล เมสซี่” และ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” คว้าแชมป์เพราะอย่างที่ทราบกันว่าพวกเขาตกรอบน็อคเอาท์ไปอย่างหน้าเสียดาย
อาร์เจนติน่าของเมสซี่พ่ายให้กับฝรั่งเศสเจอที่เด็ดของ “เอ็มบัปเบ้” เขี่ยตกรอบ ส่วนโปรตุเกสของโรนัลโด้ก็พลาดท่าให้กับ “อุรุกวัย” ในคืนวันเดียวกัน
สำหรับนักฟุตบอลคนนึง เชื่อว่าการได้ชูถ้วยเวิลด์คัพในสีเสื้อทีมชาติบ้านเกิดถือเป็นเรื่องที่สุดวิเศษในชีวิต เป็นความฝันของนักฟุตบอลทุกคน ไม่ว่าฝีเท้าจะไร้เทียมทานขนาดไหนประสบความสำเร็จกวาดแชมป์ให้กับสังกัดมากเพียงใด...
แต่บทพิสูจน์ที่จะทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่านักเตะรายประสบความสำเร็จอย่างครบถ้วน คือ การชูถ้วยเถลิงแชมป์ฟุตบอลโลก!
ในอดีตมีนักเตะมากมายที่ได้รับขนานนามว่า “แข้งเวิลด์คลาส” ไม่ว่าจะเป็น "เปเล่” จากบราซิล “มาราโดน่า” จากอาร์เจนไตน์ “เบ็คเคนบาวเออร์” จากเยอรมัน “ซีดาน” จากฝรั่งเศส พวกเขาเหล่านี้ผ่านบททดสอบและพิสูจน์ให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตามวลมนุษยชาติแล้วว่าคู่ควร
นอกจาก เมสซี่ และ โรนัลโด้ สองนักเตะแห่งยุคแล้ว ยังมีอีกไม่น้อยเลยที่ผู้เล่นมากความสามารถทำผลงานได้อย่างเยี่ยมยอดให้กับสโมสร แต่สำหรับทีมชาติกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
วันนี้จึงขอย้อนรอยภาพจำของเหล่านักเตะที่เป็นความหวังของชาติแต่กลับไม่มีโอกาสสักครั้งที่จะได้สัมผัสถ้วยแชมป์โลก
เริ่มต้นกับสุดยอดนักเตะระดับตำนานอย่าง “อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่” ผู้ที่ยังไม่เคยก้าวไปจนถึงมหกรรมฟุตบอลโลก
แต่ก็ยังคงถูกยกย่องให้อยู่ในระดับเดียวกับสุดยอดตำนาน อย่าง เปเล่, มาราโดน่า
หรือเบ็คเคนบาวเออร์ จากการเป็นตำนานนักเตะของ ราชันชุดขาว ที่เคยพาทีมคว้าแชมป์
ยูโรเปี้ยน คัพ มาครองได้ถึง 5 สมัยติดต่อกัน ด้วยผลงาน 376 ประตูจาก 522 นัด
ทำให้เขาสามารถคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ มาครองได้ 2 สมัย
ถึงแม้เขาจะเกิดใน อาร์เจนติน่า และลงเล่นให้กับทีมบ้านเกิดไปแล้ว 6 นัด และเปลี่ยนมาเล่นให้ โคลอมเบียอีก 4 เกมส์ แต่ท้ายที่สุด ดิสเตฟาโน่ ตัดสินใจลงสนามให้กับ "สเปน" ตลอดช่วงเวลาที่เหลือ
แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่รบเร้าจึงทำให้เขาพลาดการติดทัพ 'กระทิงดุ' ในการสู้ศึกฟุตบอลโลก 1962 ไปอย่างน่าเสียดาย
อีกหนึ่งผู้เล่นที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อมดลูกหนังและอดีตตำนานทัพ‘ผีแดง’แมนฯยูไนเต็ด “จอร์จ เบสต์” ด้วยผลงานอันร้อนแรงกระทั่งพาแมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1968 พร้อมกับคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ในปีเดียวกัน และยังเป็นเจ้าของไอเดียที่จะรวมทีมชาติ ไอร์แลนด์เหนือกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้ารอบรายการใหญ่ๆสักครั้งหนึ่ง
ถามว่าในยุคนั้น เบสต์ เก่งขนาดไหน ฟร้านซ์
เบ็คเคนบาวเออร์ ยอดลิเบโร่แห่งยุคยังเคยพูดถึงยอดนักเตะคนนี้ว่า
"บางทีนี่อาจจะเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่ยังไม่เคยลงเตะใน ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย"
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเบสต์ยังไม่เคยที่จะได้ลงเล่นฟุตบอลรอบสุดท้ายเลยแม้สักครั้งเดียว
ต่อด้วยศิลปินลูกหนังและเป็นต้นแบบระบบการเล่นของฟุตบอลยุคใหม่ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “โยฮัน ครัฟฟ์” เจ้าของฉายา “นักเตะเทวดา” คีย์แมนคนสำคัญของทัพกังหันลม‘ฮอลแลนด์ และเป็นหนึ่งในตำนานนักเตะที่ไม่เคยได้แชมป์โลก เนื่องจากฮอลแลนด์ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งรายการกลับไปพ่ายแก่เยอรมนีตะวันตก 1-2 ในรอบชิงชนะเลิศปี 1974
แต่ในระดับสโมสรครัฟฟ์เคยได้แชมป์ลีกกับอาแจกซ์ถึง8สมัยและแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอีก3สมัยติดต่อกันกระทั่งในปี 1971-73 ครัฟฟ์โยกไปเล่นให้บาร์เซโลน่าได้แชมป์ลาลีกาฤดูกาล 1973-74 รับรางวัลบัลลงดอร์3 สมัย ในปี 1971, 1973 และ 1974 ก่อนแขวนสตั๊ดกับเฟเยนูร์ดในปี1984
เช่นเดียวกันทั้ง เมสซี่ และ โรนัลโด้ คืออีกหนึ่งตัวอย่างแข้งเวิลด์คลาสที่ไปไม่ถึงดวงดาวความคาดหวังที่จะได้สัมผัสถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพกับสลายไปแล้วปัจจุบันเมสซี่ก้าวสู่วัย 31 ปี กว่าฟุตบอลโลกครั้งหน้าจะมาถึงสภาพร่างกายอาจไม่เอื้อให้กับเขาอีกต่อไปและยิ่งมีข่าวออกมาว่าแข้งต่างดาวรายนี้โบกมืออำลาทีมชาติเป็นที่เรียบร้อยนั่นจึงเป็นการตอกย้ำว่าเมสซี่หมดสิทธิ์ชูถ้วยอย่างถาวร
สำหรับโรนัลโด้เองอายุอานามก็ปาเข้าไป 33 ปีแล้ว แม้ว่าจะรักษาสภาพร่างกายดีแค่ไหนแต่ถึงเวลานั้นคงจะไม่มีพลังเหลือคอยแบกทีมอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
ความล้มเหลวของนักเตะระดับเวิลด์คลาสในนามทีมชาติจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกในเมื่อเกมฟุตบอลยังคงเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมๆ กับการก้าวขึ้นมาของนักเตะหน้าใหม่ ที่ต้องพิสูจน์ผลงานของตัวเองต่อไป ไม่ใช่แค่เพียงระดับสโมสร
แต่รวมไปถึงการประสบความสำเร็จในรายการ “ฟุตบอลโลก” ด้วย
เพื่อไม่ให้ “ฝันสลาย” และไม่อาจถูกเติมเต็มไปได้ตลอดชีวิต…