หรือปีนี้ จะเป็นบันทึกหน้าใหม่ของรัสเซีย?
ในปี 1966...รัสเซีย (สหภาพโซเวียตในขณะนั้น) สร้างชื่อกระหึ่มในผืนแผ่นดินเมืองผู้ดีด้วยการคว้าอันดับที่ 4 ของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 8 โดยมีอังกฤษเป็นหน้าเสื่อรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ก่อนที่จะคว้าแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวบนแผ่นดินบ้านเกิด
โดยผลงานของทัพหมีขาวรอบแรกอยู่ร่วมสายกับอดีตแชมป์โลกสองสมัยอย่าง ‘อิตาลี’ พร้อมด้วย เกาหลีเหนือ และ ชิลี
รัสเซียหรือสหภาพโซเวียตทำผลงานได้อย่างเหนือชั้นเก็บ คว้าชัยสามนัดรวด แถมยังยิงได้ถึง 6 ประตู และเสียเพียงแค่ 1 ประตู คว้าแชมป์กลุ่มมาครองแบบสบายๆ ที่สำคัญคือการเขี่ยอดีตแชมป์ตกรอบแรกด้วย
ทัพหมีขาวฝ่าด่านหฤโหดในรอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อต้องโคจรมาพบกับทีมที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดอีกทีมหนึ่งในยุคนั้นอย่าง "ฮังการี" และเป็นรัสเซียที่เก็บชัยไปได้ 2-1 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปเจอกระดูกชิ้นโตอย่าง ‘เยอรมันตะวันตก’ มหาอำนาจลูกหนังในเวลานั้น
พวกเขาสู้ชนิดถวายหัวแต่ก็ไม่อาจต้านทัพอินทรีเหล็กที่เบียดเอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ทำให้รัสเซียจบลงด้วยการคว้าอันดับที่ 4 ในการฟาดแข้งบอลโลกครั้งนั้น
และนั่นก็เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเพียงชิ้นเดียวที่รัสเซียทำได้ หลังจากนั้นมาผลงานของทีมกลับถอยกรูดลงเรื่อยๆ กลายเป็นเพียงทีมเกรดบี เป็นไม้ประดับในการแข่งขันที่ผ่านๆ มาเท่านั้น
แต่กับฟุตบอลโลกหนนี้มันไม่ใช่ เชื่อลึกๆ ว่า "รัสเซีย" ทีมเก่าเขากำลังจะกลับมาอีกครั้ง!
หลายคนอาจค้านว่า หากรัสเซียต้องไปโม่แข้งกับบรรดาทีมในยุโรปหลายต่อทีมเผอิญจับพลัดจับผลูไปอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมหัวกะทิของทวีป ไม่แน่รัสเซียอาจไม่ได้มาโชว์ของในฟุตบอลโลกหนนี้ หรือ ในฐานะเจ้าภาพเหล่าผู้ตัดสินอาจเอนเอียงในบางแมตช์บางจังหวะมีสร้างความได้เปรียบให้ทีมหมีขาว ข้อแรกผลงานอันเอกอุกในฟุตบอลโลกครั้งนี้คงได้แจ้งแถลงไขไปแล้วว่าพวกเขามีดีพอแน่นอน
ส่วนข้อหลังยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะนี่คือฟุตบอลสมัยใหม่ มีการเข้มงวดในการปฏิบัติของผู้ตัดสิน ข้อกำหนดบทลงโทษชัดเจนคงไม่มีใครกล้าเอาตัวเองเข้าแลก
เมื่อนำเข้ามารวมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยที่นำมาใช้ในเกมฟุตบอลทั้งระบบ Goal line หรือแม้กระทั้ง VAR เท่านั้นยังไม่พอในสนามยังมีบรรดาตาทิพย์ในที่นี้หมายกล้องจับภาพที่มีอยู่รอบสนาม นั่นยิ่งทำให้ความผิดพลาดและการตัดสินใจของผู้ตัดสินมีความคลาดเคลื่อนน้อยลง
เพราะถ้ารู้สึกท่านเปาเป่าค้านสายตาภาพที่สะท้อนออกมาจะสร้างผลเสียในแง่ของทัศนะภายในประเทศ เพราะเหตุนี้เรื่องกรรมการที่ลงทำหน้าที่แล้วกลัวว่าจะเป่าเข้าข้างเจ้าภาพตีตกไปได้เลย
ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีทางเหมือนฟุตบอลโลกปี 2002 นั่นหรอก ไม่เชื่อลองถามแฟนบอลอิตาลีดูว่าเกิดอะไรขึ้น!!
ดังนั้นข้อได้เปรียบจริงๆ ของเจ้าภาพนั้นไม่ใช่เรื่องของการตัดสิน แต่เป็นผู้เล่นคนที่ 12 ที่ตามเข้ามาเอาใจช่วยทีมรัสเซียทั้งนอกและในสนาม สวมเสื้อทีมรักตะโกนโห่ร้องเสียงดังกึกก้อง ปลุกขวัญกำลังใจนักเตะตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุก หรือ ตั้งรับชนิด 11 คนอยู่ในแดนตัวเอง พวกเขาก็พร้อมเอาใจช่วย ดั่งที่ได้เห็นในนัดที่ยื้อจนถึงจุดโทษและเอาชนะสเปนในรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาได้ล่าสุด นี่ต่างหากคือความได้เปรียบของเจ้าภาพ
อีกปัจจัยที่ส่งผลให้รัสเซียไปได้ไกลในฟุตบอลโลกหนนี้ คือ ระบบการเล่นที่ ‘สตานิสลาฟ เชียร์เชซอฟ’ เฮดโค้ชวัย 54 ปีคนนี้วางรากฐานไว้อย่างรัดกุม ระเบียบวินัยในเกมรับคือจุดแข็งของทีม การเรียกปราการหลังตัวเก๋าอย่าง ‘เซอร์เก้ อิกนาเซวิช’ มาบัญชาเกมรับแม้อายุอานามจะปาเข้าไป 38 ปีแล้ว
แต่ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนในเวทีระดับชาติทำให้เชียร์เชซอฟไว้ใจในกองหลังรายนี้และเจ้าตัวก็ทำผลงานออกมาได้ดีเสียด้วยการจัดการ ‘ดิเอโก้ คอสต้า’ กองหน้าของสเปนได้อยู่หมัดในรอบที่ผ่านมานั้นพิสูจน์แล้วว่า "เก่าแต่เก๋าเกม"
อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน อาจจะเป็นวันเดอร์คิดที่ทุกคนต่างพูดถึง แต่อย่าลืมว่ายังมีอีกหนึ่งคีย์แมนสำคัญที่สร้างสมดุลให้กับทีมอย่าง ‘โรมัน ซอฟนิน’ กลางรับจากสปาร์ตัก มอสโก วัย 24 กระรัตคนนี้ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นลงเล่นเป็นตัวจริงตลอด 4 นัดที่ผ่านมา
จุดเด่นคือการตัดจังหวะเกมรุกของฝั่งตรงข้ามได้อยู่หมัดการเข้าปะทะที่แม่นยำเป็นตัวสกรีนชั้นดีก่อนถึงแนวรับแบ่งเบาภาระของทีมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
อีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญที่จะพารัสเซียไปถึงฝันคงหนีไม่พ้น "อิกอร์ อคินเฟเยฟ" นายด่านร่างทรงของไอ้หมึกยักษ์ดำ‘เลฟ ยาชิน’ อคินเฟเยฟถูกนำไปเปรียบเทียบกับผู้รักษาประตูระดับตำนานอย่างยาชินผู้สร้างประวัติศาสตร์ไว้อย่างมากมายในฐานะผู้รักษาประตู กระทั่งสิ้นสุดยุคของ ‘ไอ้หมึกยักษ์ดำ’ หรือ "แมงมุมดำ" อย่างที่หลายคนเรียก ตำแหน่งนี้ก็เหมือนเป็นปัญหาที่รัสเซียพยายามแก้ไขมาโดยตลอด
จนแล้วจนรอดฟ้าก็ประทานอคินเฟเยฟคนนี้แหละมาเฝ้าเสาให้รัสเซีย
แม้ว่าตอนนี้อคินเฟเยฟจะไม่ได้อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุด แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่าเขานี่แหละคือผู้กุมชะตาของทีม
ในแมตช์ที่พบกับสเปน เกมยืดเยื้อจนถึงขั้นตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ แน่นอนมันเป็นการวัดคมของนักเตะของทั้งสองทีมและก็เป็นรัสเซียที่แม่นกว่าเอาชนะไปได้ในที่สุด แต่อย่าลืมว่าอคินเฟเยฟเซฟจุดโทษได้ถึง 2 ครั้งและอีก 9 ครั้งที่สเปนพยายามทำประตูตลอด 120 นาทีก็ถูกนายทวารคนนี้ปฏิเสธเอาไว้ทั้งหมด
หากรัสเซียรักษามาตรฐานการเล่นทรงนี้เอาไว้ได้ นักเตะตัวความหวังงัดฟอร์มเทพออกมาได้ถูกเวลา และยาชินประทับร่างอคินเฟเยฟ ไม่แน่รัสเซียทีมเดิมจากเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วอาจกลับมาผงาดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็ได้
01.00 น.เกมที่จะพบกับโครเอเชียในค่ำคืนนี้จะเป็นบททดสอบของจริงว่า...
"รัสเซียมีดีพอหรือไม่ที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง"
ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ... เพราะนี่คือฟุตบอล!