:::     :::

เหยื่อรายต่อไป

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
11,184
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ไม่ผิดจากความคาดหมายกับการปลด อันโตนิโอ คอนเต้ ออกจากตำแหน่งของบอร์ดบริหาร เชลซี
         ว่าไปแล้วกุนซือชาวอิตาเลี่ยนก็เหมือนกับ "ซอมบี้" เดินอยู่ในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ไร้ซึ่งความสำคัญ 
         นับตั้งแต่วันที่ทีมกระเด็นตกรอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการพ่ายให้กับ บาร์เซโลน่า เมื่อเดือนมีนาคม ก็ถือเป็นการตัดสินแล้วว่า คอนเต้ จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งต่อไปหลังจากที่ผลง่นในลีกย่ำแย่จนหมดลุ้นแชมป์ไปตั้งแต่ไก่โห่
         ซึ่งด้วยผลงานที่ย่ำแย่นั้นมันส่งผลกระทบถึงโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่แม้จะมี "กระตุกก่อนตาย" มาได้ลุ้นในช่วงท้ายๆ แต่มันก็เหมือนแสงไฟอันริบหรี่สุดท้ายก็มอดดับลงไปในที่สุด
         ส่วนแชมป์เอฟเอ คัพอาจจะถือเป็นรางวัลปลอบใจเท่านั้น เพราะว่ากันตามตรงมันคงเทียบกับไม่ได้กับความล้มเหลวมาตลอดทั้งฤดูกาล (ในสายตาของบอร์ด) โดยเฉพาะการชวดโควต้าถ้วยใหญ่ของยุโรป แม้ว่าจะเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วเมื่อปี 2016/17 นี้เอง
       
         การมาของ อันโตนิโอ คอนเต้ พร้อมกับปฏิวัติการแนวทางการเล่นของ "สิงห์บลูส์" ด้วยสไตล์อิตาเลี่ยนพร้อมกับความสำเร็จมาพากลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้ง ซึ่งการที่ทีมไม่มีโปรแกรมยุโรปน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมมุ่งมั่นในลีกได้อย่างเต็มตัว เพียงน่าเสียดายที่ชวดได้แชมป์เอฟเอ คัพหลังพ่ายแพ้ในเกมชิงชนะเลิศให้กับ อาร์เซน่อล 
         ความสำเร็จจากปีแรกทำให้บอร์ดตั้งความหวังอย่างสูงพร้อมกับการทุ่มเงินกว่า 185 ล้านปอนด์ในการเสริมทัพเพื่อสานต่อความยอดเยี่ยมรวมทั้งในลีกและบอลยุโรป ทว่าผลสุดท้ายที่อย่างที่เห็นกัน
         ที่ผ่านมาเจ้าตัวทำงานภายใต้ความกดดันมาตลอดช่วง 3 เดือนสุดท้ายของฤดูกาลท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะดึงตัวกุนซือรายอื่นเข้ามาทำงานแทน 
                   
         บทสรุป 1 แชมป์พรีเมียร์ลีก กับ 1 แชมป์เอฟเอ คัพ ไม่เพียงพอที่จะให้ อันโตนิโอ คอนเต้ อยู่ในเก้าอี้เทรนเนอร์ของทีมต่อไป
         ก็ไม่นาปลกใจเท่าไรกับสถิติการเปลี่ยนกุนซือของ เชลซี นับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาครอบครองอาณาจักรนี้โดยเปลี่ยนไปแล้ว 12 คน (มูรินโญ่ กับ ฮิดดิ้งก์ คนละ 2 รอบ) โดนค่าชดเชยไปร่วม 100 ล้านปอนด์เข้าให้
         โดยเฉพาะในช่วงหลังที่เปลี่ยนแปลงเป็นว่าเล่นไม่ว่าคนคนนั้นจะนำความสำเร็จมาสู่สโมสรหรือไม่ก็ตาม
         ปี 2009 คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ามารับตำแหน่ง และปีแรกจัดการพาทีมคว้า "ดับเบิ้ลแชมป์" ทั้งพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอค คัพ แต่โดนไล่ออกจากตำแหน่งหลังจบเกมพ่าย เอฟเวอร์ตัน 0-2 ในเดือนพฤษภาคม 2011 พกสถิติคุมทีม 109 เกม ชนะ 67 เสมอ 20 แพ้ 22 ยิง 241 ประตู เสีย 94 ลูก คิดเปอร์เซ็นต์ชนะได้ที่ 61%
         ปี 2011 อันเดร วิลลาช โบอาช เข้ารับงานด้วยชื่อเสียงสูงส่งจาก ปอร์โต้ ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็น "นิว โชเซ่ มูรินโญ่" แต่ยังไม่ทันคุมทีมครบซีซั่นดีก็โดนไล่ออกกับคุมทีม 40 เกม ชนะ 19 เสมอ 11 แพ้ 10 ยิง 69 ประตู เสีย 43 ลูก คิดเปอร์เซ็นต์ชนะได้ที่ 48%
         ปี 2012 โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่เป็นผู้ช่วยของ โบอาช เข้ามาคุมทีมในช่วงเดือนมีนาคมรับตำแหน่ง "ขัดตาทัพ" แต่พาทีมผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ใบที่ "เสี่ยหมี" ปรารถนาและใฝ่ฝันว่าจะคว้ามาครอบครองให้ได้ พ่วงด้วยแชมป์เอฟเอ คัพจนได้รับสัญญาสองปีเป็นรางวัลตอบแทนก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ แต่คุมทีมแค่ถึงเดือนพฤศจิกายนก็โดนอัปเปหิไปอีกราย โดยมีสถิติคุมทีม 42 เกม ชนะ 24 เสมอ 9 แพ้ 9 ยิง 43 ประตู เสีย 23 ลูก คิดเปอร์เซ็นต์ชนะได้ที่ 57%
                   
         ปี 2012 ปีเดียวกันนี้ ราฟาเอล เบนีเตซ เข้ามารับตำแหน่งแทนที่ ดิ มัตเตโอ ที่โดนไล่ออกไป ด้วยสัญญาจนจบฤดูกาลเท่านั้น แต่ก็ช่วยให้ทีมคว้าถ้วยเล็กของยุโรปอย่างยูโรปา ลีกมาครองได้สำเร็จในฤดูกาลนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับการต่อสัญญาออกไป มีสถิติคุมทีม 48 เกม ชนะ 28 เสมอ 10 แพ้ 10 ยิง 99 ประตู เสีย 48 ลูก คิดเปอร์เซ็นต์ชนะได้ที่ 58%
         ปี 2013 แฟนๆ เชลซี ได้สุดเสียงเมื่อทีมประกาศแต่งตั้งเทรนเนอร์ใหม่หน้าเก่าอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของสโมสรเมื่อครั้ง โรมัน อบราโมวิช เข้ามาซื้อกิจการใหม่ๆ และก็ยังไว้ลายด้วยการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2014/15 แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ด้วยผลงานแพ้ 9 จาก 16 เกมแรกของฤดูกาล สโมสรก็แถลงแยกทางกับนายใหญ่ชาวโปรตุกีสด้วยความยินยอมพร้อมใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย
                     
         และหลังจากที่ กุส ฮิดดิ้งค์ ได้รับแต่งตั้งเข้ามาเป็นเทรนเนอร์ขัดตาทัพอีกครั้งหลังจากที่เคยทำหน้าที่มาแล้วเมื่อปี 2009 แทนที่ มูรินโญ่ อำลาออกไปก็เป็นคราวของ อันโตนิโอ คอนเต้ นี่เอง
         สถิติคุมทีม 106 เกม ชนะ 69 เสมอ 17 แพ้ 20 ยิง 212 ประตู เสีย 102 ลูก คิดเปอร์เซ็นต์ชนะได้ที่ 65% ถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรเป็นรองแค่ โชเซ่ มูรินโญ่ สมัยคุมทีมรอบแรกที่ทำไว้ 67% และไม่นับพวกที่คุมชั่วคราวเกมเดียว ซึ่งต้องบอกว่ายอดเยี่ยมมากๆ
         แต่ก็อย่างที่รู้ วันนี้ไม่มีชื่อของ อันโตนิโอ คอนเต้ อยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป และก็เป็น เมาริซิโอ ซาร์รี่ เทรนเนอร์ชาวอิตาลีเข้ามารับงาน โดยมี ลูก้า ก็อตติ มือกวาของ โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ มารับหน้าที่ผู้ช่วย ส่วน จานฟรังโก้ โซล่า ที่ได้รับการคาดหมายในตอนแรกเป็นเพียงสต๊าฟฟ์ของทีม
                              
         พร้อมกับเปิดตัว จอร์จินโญ่ กองกลางตัวใหม่เข้ามาสู่ทีมเป็นคนแรกเลย
         ถามว่าชื่อชั้นของ ซาร์รี่ ดีกว่า คอนเต้ รึเปล่า ก็คงพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ใช่ แค่ความสำเร็จก็ต้องบอกว่าคนละชั้นแล้ว
         ในวันที่ คอนเต้ พา บารี่ คว้าแชมป์เซเรีย บี ตอนนั้น ซาร์รี่ ตกงาน หรือตอนที่ คอนเต้ พา ยูเวนตุส ครองความยิ่งใหญ่ในลีกสูงสุดของประเทศ ซาร์รี่ คุมแค่สโมสรเล็กๆอย่าง เอ็มโปลี เท่านั้น
         ผลงานของ ซาร์รี่ อาจจะทำได้ไม่เลวในการพา นาโปลี ขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการฟุตบอลอิตาลี แต่ที่ผ่านมาเข้ายังไม่เคยมีรางวัลอะไรการันตีถึงฝีมือได้เลย
         โอเคว่าสโมสรที่คุมอาจจะไม่ใหญ่และยากที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่เชื่อเถอะว่าหากให้จิ้มยังเชื่อว่าแฟนๆคงชี้นิ้วไปหาคนที่มีโปรไฟล์ดีกว่าอย่าง คอนเต้ แน่นอน
 
         สิ่งหนึ่งที่แฟนๆสีน้ำเงินพออุ่นใจได้บ้างก็คือในการเปลี่ยนแปลงเทรนเนอร์แต่ละครั้งในช่วงหลังทีมมักมีแชมป์ติดไม้ติดมืออยู่เสมอ แม้มันไม่เพียงพอต่อเกาเซฟเก้าอี้ของบรรดาเหล่ากุนซือทั้งหลายก็ตาม
         มาถึงวันนี้แล้ว คอนเต้ ก็ออกไปแล้ว, ซาร์รี่ ก็ได้รับการแต่งตั้งแล้ว ก็คงถึงเวลาสิงห์ตัวนี้จะออกเดินอีกครั้งกับแนวทางของผู้จัดการทีมคนใหม่
         ด้วยความอดทนที่ต่ำเหลือเกินในช่วงหลังของ โรมัน อบราโมวิช ความเปลี่ยนแปลงอะไรจะขึ้นอีกบ้างก็ไม่รู้
         สัญญา 3 ปีที่เซ็นก็รอดูกันต่อไปว่าจะอยู่ครบตามที่เซ็นหรือจะได้รับการขยายเพิ่มหรือไม่
         ผลงานแค่ฤดูกาลแรกก็คงเป็นคำตอบได้แล้วว่าสุดท้ายนี่จะเป็นเหยื่อ "อารมณ์" ของ โรมัน อบราโมวิช หรือไม่


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด