:::     :::

พื้นที่ตรงนั้น ...

วันอาทิตย์ที่ 05 สิงหาคม 2561 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
5,567
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกมนัดเปิดสนาม พรีเมียร์ลีก 2018/19 ใกล้เข้ามาทุกที และที่พิเศษคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกจัดให้เล่นเกมเปิดหัวกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในคืนวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคมนี้

นอกจากนั้น พรีเมียร์ลีก ยังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบตลาดซื้อขายนักเตะให้สิ้นสุดในวันที่ 9 ส.ค. จากเดิมที่เคยตั้งไว้ในวันที่ 31 ส.ค. (อย่างไรก็ตามนั่นจะมีผลเพียงแค่ตลาดขาเข้า แต่ตลาดขาออกหรือการปล่อยนักเตะยังคงดำเนินต่อไปตามเดิม)

ช่วงที่ผ่านมาแต่ละทีมต่างเดินหน้าเสริมทีมโดยเฉพาะบรรดาทีมลุ้นแชมป์หรือหัวตารางที่มุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตนเองต้องการ

แชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะได้บิ๊กเนมมารายเดียว นั่นคือ รียาด มาห์เรซ จาก เลสเตอร์ ซิตี้ ทว่าก็ถือเป็นการเสริมทีมที่น่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากจะเป็นการติดอาวุธให้กับแนวรุกที่ดีอยู่แล้ว ดีขึ้นกว่าเดิม

แต่โดยลึกๆแล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องกลางแดนกลางมากกว่า แถมเพิ่งหัวร้อนกับการพลาดตัว จอร์จินโญ่ ที่เลือกไป
เชลซี ทำให้ โค้งสุดท้ายต่อจากนี้น่าติดตามว่าจะมีบิ๊กเนมรายไหนลงเอยกับทีมเรือใบหรือไม่

ทางด้าน ลิเวอร์พูล ถือว่าสร้างความฮือฮาได้มากที่สุด เพราะบิ๊กเนม 4 รายที่ดึงเข้ามานั้นเรียกได้ว่าทำให้แฟนบอลต่างคาดหวังไปไกลกันแล้วในตอนนี้

นาบี เกอีต้า, ฟาบินโญ่, เซอร์ดาน ชากีรี่ และ อาลิสซอน เบ็คเกอร์ คือ 4 นักเตะที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ประกาศว่าพร้อมก้าวขึ้นไปเป็นทีมลุ้นแชมป์ในฤดูกาลต่อไป



อีกทีมที่ถือว่าเสริมทัพได้อย่างคึกคักคงหนีไม่พ้น อาร์เซน่อล ที่ไล่ตั้งแต่การเปิดตัวนายใหม่นาม อูไน เอเมรี่ เพราะหลังจากนั้นทีมก็ไล่เปิดตัวแข้งใหม่ไม่ว่าจะเป็น สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์, แบร์นด์ เลโน่, โซตราติส ปาปาสตาโธปูลอส, ลูกัส ตอร์เรยร่า และ มัตเตโอ กูเอนดูซี่

น่าสนใจไม่น้อยกับ ปืนใหญ่ ยุคใหม่กับกุนซือ เอเมรี่ เพราะนี่คือการเปลี่ยนในรอบกว่า 22 ปีของทีม หลังสิ้นยุค อาร์แซน เวนเกอร์

อีกหนึ่งทีมเต็งแชมป์ที่ตั้งอยู่ในลอนดอนอย่าง เชลซี ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกันโดยเฉพาะในตำแหน่งผู้จัดการทีมที่ยืดเยื้อมานานจนในที่สุดก็แต่งตั้ง เมาริซิโอ ซาร์รี่ ได้สักที

การเริ่มต้นของ สิงโตน้ำเงินคราม ถือว่าช้ามากและมันส่งผลถึงการเสริมทีมเนื่องจากทีมเพิ่งได้มาเพียง จอร์จินโญ่ และ โรเบิร์ต กรีน แถมยังต้องมารับมือกับการรั้งตัวแกนหลักอย่าง เอแด็น อาซาร์ และ ติโบต์ กูร์กตัวส์ 

นับได้ว่าเป็นหน้าร้อนที่สุดวุ่นวายของ เดอะ บลูส์ ที่นอกจากจะต้องเร่งหาแข้งใหม่มาเสริม ยังต้องรับมือกับปัญหาภายในที่กำลังจะโดนทีมอื่นดูดแกนหลักออกจากทีม



ส่วน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ... เอ่อ ดูเหมือนว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากรั้วไก่เดือยทองให้เห็น มีเพียงการต่อสัญญากับแกนหลักอย่าง แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึล-มิน ที่ทำให้แฟนบอลพอกระชุ่มกระชวย

เอาล่ะ หลังจากไปลัดเลาะทีมอื่นกันพอประมาณ มาเข้าประเด็นหลักกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังคงเดินหน้าในตลาดนักเตะช่วงโค้งสุดท้าย

ที่ผ่านมา ปิศาจแดง คว้านักเตะได้เพียง 3 รายซึ่ง 2 ใน 3 นั้นเรียกได้ว่าเป็นเพียง 'กำลังเสริม' ของทีมเท่านั้น ทั้ง ลี แกรนท์ และ ดีโอโก้ ดาโลต์ มีเพียง เฟร็ด ที่จะพร้อมจะเป็นตัวเลือกหรือลงสนามพร้อมกับ ปอล ป็อกบา และ เนมานย่า มาติช 

ทำให้ช่วงที่ผ่านมา ปิศาจแดง ยังคงตกเป็นข่าวกับนักเตะมากหน้าหลายตาโดยเฉพาะแนวรับที่ถือเป็นกระแสแรงมาก ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ แม็คไกวร์, โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ และ เยร์รี่ มีน่า

แต่ละรายสลับสับเปลี่ยนกันมาเป็นประเด็นให้แฟนปฃผีแดงติดตาม อย่างกรณี มีน่า ที่ระบุว่าตกลงสัญญากันได้แล้วเหลือเพียงขั้นตอนเจรจาค่าตัว แต่ ... ล่าสุดดันมีข่าวว่าการเจรจาล่มไม่เป็นท่าเพราะมีสาเหตุมาจาก 'เอเย่นต์' นักเตะ เข้ามาวุ่นวายเรื่อง 'เงิน'



นั่นจึงเป็นการโยงกลับไปยัง อัลเดอร์แวเรลด์ ของ สเปอร์ส อีกครั้ง ซึ่งหนนี้ดูเหมือนว่า ผีแดง จะเอาจริงด้วยการยื่น 60 ล้าปนอนด์ และหวังจะปิดการเจรจาให้เร็วที่สุด

ในราย อัลเดอร์แวเรลด์ ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ปิศาจแดง จากทางฝั่งสหราชอาณาจักร เพราะ แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ สื่อท้องถิ่นแดนผู้ดีได้เปิดให้แฟนบอลงคะแนนว่าอยากได้กองหลังรายไหนมากที่สุด โดยมีตัวเลือก 3 ราย อัลเดอร์แวเรลด์, แม็คไกวร์ และ มีน่า

ปรากฏว่า กองหลังทีมชาติเบลเยียมนอนมาเป็นเบอร์ 1 (หากจำไม่ผิดได้คะแนนไปกว่า 80% จากจำนวนคนลงคะแนน 3 พันกว่าราย) ตามมาด้วย แม็คไกวร์ และ มีน่า

จุดนี้คงเป็นเพราะผลงานของกองหลังทีมชาติเบลเยียมที่แสดงปรากฏในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงการพิสูจน์ตนเองในเวทีพรีเมียร์ลีกมานานหลายปี ทำให้แฟนบอลมองว่า อัลเดอร์แวเรลด์ ไม่ต้องเสียเวลาปรับตัว หรือพูดสั้นๆว่า 'ใช้งานได้เลย'



แม้ว่าตอนนี้ทีมจะมีเซ็นเตอร์ฮาล์ฟถึง 5 รายไล่ตั้งแต่ เอริค ไบยี่, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, มาร์กอส โรโฮ หรือ 2 แนวรับชาวอังกฤษทั้ง ฟิล โจนส์ และ คริส สมอลลิ่ง ทว่าผลงานของแต่ละรายยังเอาแน่เอานอนไม่ได้และไม่สามารถยืนระยะหรือเป็นที่ไว้ใจของทีมในระยะยาว

ไบยี่ อาจจะมีผลงานที่ดีตั้งแต่ย้ายมาจาก บียาร์เรอัล แต่ฤดูกาลที่ผ่านมากลับโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานวึ่งส่งผลถึงการลงสนามของนักเตะ

ในราย ลินเดเลิฟ ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักในช่วงแรกโดยเฉพาะการรับมือกับการเล่นลูกกลางอากาศ แต่นักเตะก็ส่งสัญญาณดีอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าฤดูกาลนี้จะมีโชว์ของได้เต็มที่สักที

ส่วน โรโฮ แม้จะมีฝีเท้าที่ดี แต่ช่วงหลังก็ต้องประสบกับปัญหาบาดเจ็บมาตลอด นั่นทำให้นักเตะต้องเข้าๆออกๆ จากทีมชุดใหญ่และห้องพยาบาล ในราย โจนส์ กับ สมอลลิ่ง อันนี้คงเข้าใจตรงกันเพราะบทจะดีก็ดีใจหาย แต่บทจะแย่ก็แย่แบบชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่ง เหตุผลที่ยกมาคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ มูรินโญ่ ยังคงต้องการปราการหลังตัวกลางรายใหม่มาสู่ทีม



นอกจากตำแหน่งดังกล่าว ปิศาจแดง ยังคงมองหา 'ปีกขวา' ที่จะเข้ามาเติมเต็มแนวรุกของทีม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็ตกเป็นข่าวกับนักเตะหลายคนไม่ว่า วิลเลี่ยน, อีวาน เปริซิช, อันเต้ เรบิช, แกเร็ธ เบล ฯลฯ กระนั้นมันก็คือกระแสข่าวตามหน้าสื่อเท่านั้น

แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปที่แนวรุกของทีมไม่ว่าจะเป็น 

อเล็กซิส ซานเชซ

เจสซี่ ลินการ์ด

ฆวน มาต้า

มาร์คัส แรชฟอร์ด 

และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล 

เรียกได้ว่ามีเยอะจนใช้งานกันได้ไม่หมด แต่ปัญหาคือผลงานที่ผ่านมากลับยังไม่ 'ปัง' และ 'โดนใจ' เท่าไหร่ โดยเฉพาะการประสานงานและเปิดป้อนให้ โรเมลู ลูกากู เข้าทำแบบไม่เปลืองแรง

แม้หลายคนอาจจะแย้งว่านักเตะอย่าง มาร์กซิยาล หรือ แรชฟอร์ด เล่นทางซ้ายไม่ใช่หรือ แต่ก็อย่าลืมว่านักเตะเหล่านี้สามารถโยกไปทางขวาได้ และนั่นคือคุณสมบัติของนักเตะแนวรุกสมัยใหม่ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และการเล่นตามแท็คติกของกุนซือ

ไม่ต่างไปจาก เจสซี่ ลินการ์ด ที่พอถูกขยับไปข้างในแล้วทำได้ดี แต่เขาก็ยังสามารถถ่างไปทางขวาเหมือนตอนเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ (แม้จะเล่นข้างหลังแนวรุกแต่บ่อยครั้งที่ออกไปประสานงานกับ คีแรน ทริปเปียร์)



หรือในราย ฆวน มาต้า ที่อาจจะไม่ใช่ปีกขวาธรรมชาติ (เพราะบ่อยครั้งชอบหุบเข้าข้างในและสร้างความอันตรายได้ดี) ก็สามารถปรับเปลี่ยนตามสถาการณ์ ตามที่กุนซือสั่งการลงมา

ยิ่งการทำทีมของ มูรินโญ่ ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาเขาเน้นย้ำชัดเจนว่านักเตะทุกคนต้องช่วยกันและสามารถหมุนเวียนตามความหมาะสม

จุดนี้จะเห็นได้ชัดตอนที่เขาคุม เชลซี สมัยแรก บรรดาปีกอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน, เดเมี่ยน ดัฟฟ์ และ โจ โคล (หรือ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ ในฤดูกาลต่อมา) ที่ต่างสลับซ้ายขวาตามสถานการณ์ และลงมาช่วยแนวรับตลอด

หรือจะสมัยที่คุม อินเตอร์ มิลาน ซึ่งถือเป็นยุคสมัยที่ มูรินโญ่ ขุดแท็คติกต่างๆมากมายมาใช้งาน บรรดาแนวรุกอย่าง ดีเอโก้ มิลิโต้, ซามูเอล เอโต้, เวสลี่ย์ สไนเดอร์ และ โกรัน ปานเดฟ (ยุค 3 แชมป์) จะสามารถสลับสับเปลี่ยนตามสถานการณ์และการใช้งานได้อย่างลงตัว รวมไปถึงนักเตะตำแหน่งอื่นๆ ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรม แต่สิ่งที่ออกมากลับส่งผลดีกับทีม



กลับมาที่ ยูไนเต็ด ... 

การปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือทัศนคติของนักเตะคือส่วนสำคัญ มันคือกำแพงที่ทุกคนต้องก้าวข้ามไปให้ได้ กับฟุตบอลสมัยใหม่

แน่นอนว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มีความชอบและความต้องการหรือรูปแบบการเล่นของตนเอง แต่นักเตะเหล่านั้นก็ต้องพยายามปรับเปลี่ยนและทำตามสิ่งที่ทีมหรือกุนซือต้องการ 

แม้ที่ผ่านมาแนวรุกของ ปิศาจแดง อาจจะยังไม่ลงตัว แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้วทีมไม่สามารถดึงนักเตะ 'ปีกขวา' ตาม 'สเป็ก' ที่ต้องการได้จริงๆ สโมสรก็จำเป็นต้องใช้งานแนวรุกชุดเดิมจากฤดูกาลที่ผ่านมา 

หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นการวัดฝีมือของ มูรินโญ่ แล้วล่ะว่า เขาจะหาทางปรับเปลี่ยนแนวรุกและปิดจุดอ่อนพร้อมเสริมเขี้ยวเล็บให้กับทีมได้หรือไม่ รวมไปถึงนักเตะด้วยว่าพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อทำให้ทีมดีขึ้นมาหรือไม่

เพราะอย่าลืมว่า หากฤดูกาลนี้ยังลงท้ายด้วยมือเปล่าหรือไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้กับตำแหน่ง แชมป์พรีเมียร์ลีก 

คำแก้ตัวใดๆก็คงฟังไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกุนซือหรือนักเตะในทีม 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด