ประเด็นข่าวที่หลายคนอินสุด คงหนีไม่พ้นรายชื่อที่ถูกพาสเจอไรซ์โดย วรวุธ ศรีมะฆะ ไม่ปรากฏชื่อ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ เป็น 1 ใน 20 คน เกาะนกเหล็กไปอินโดนีเซีย
แบ็กขวาวัย 21 ปี จากเอฟซี โตเกียว เป็นแกนหลักรับใช้สโมสรในเจลีก 3 และ กำลังสำคัญสำหรับ “ช้างศึก” ชุดนี้มาตลอด ตั้งแต่ยุค โซรัน ยานโควิช จนเปลี่ยนผ่านถึงมือ “โค้ชโย่ง”
บุกมัน รุกดี แต่หนนี้ “ไอซ์” ไม่ได้ไปต่อพร้อมเพื่อน ด้วยเหตุผลที่ วรวุธ นำมาคัดง้าง “เกมรับ” จักรกฤษณ์ ยังไม่แกร่งพอ
คำตอบ วรวุธ คล้ายกันกับตอนที่ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการไม่เรียก อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ มาติดทีมชุดแรก
การใช้ ผู้เล่นอย่าง รัตนากร ใหม่คามิ หรือ ชินภัทร ลีเอาะ ที่ไม่ใช่แบ็กขวาธรรมชาติ ลงปล่อยของในทัวร์นาเมนต์ระดับเอเชียคือคำตอบชั้นดี ว่า “เกมรับ” คือหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่ชายคนนี้เลือกซื้อ
เอาเข้าจริงคงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หากใครตามการคุมทัพของ อดีตกุนซือ สุพรรณบุรี เอฟซี รายนี้ จะรู้แจ้งเห็นชัดว่า เน้นแท็คติกที่รัดกุมมาก่อนเป็นอันดับแรก
ฟุตบอลไม่ใช่ยิมนาสติก ไม่มีคะแนนพิศวาสให้สำหรับสไตล์บอลสวยงาม ผลการแข่งขันหลังจบ 90 นาทีต่างหาก คือตัวแปรสำคัญที่สุด
อึดอัด น่าเบื่อ ชวนหาว หากแต่ได้ผลลัพธ์ตามเป้า ทุกอย่างจบ นั่นคือสิ่งที่ วรวุธ ศรีมะฆะ เทใส่ไปในทีมชุดนี้ ไม่มีบอลกับพื้นเคาะตามช่อง เข้าทำสละสลวยเหมือน 4 ปีก่อน ที่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เนรมิตไว้ เรียกว่าตรงข้ามกันอย่าง “หยิน กับ หยาง” คงไม่ผิด
ปัญหาอีกนอกจากจะยืนตรงข้ามความคิด “แฟนบอล” ส่วนใหญ่ สิ่งที่ “โค้ชโย่ง” เจอคือ ผู้เล่นในใจที่เลือกไว้ต่างพุ่งชนอาการบาดเจ็บ
รัตนัย ส่องแสงจันทร์, เควิน ดิรมรัมย์, ศศลักษณ์ ไหประโคน รวมถึง เสฎฐวุฒิ วงค์สาย ต่างถูกคาดหมายว่าจะเป็น 1 ใน 20 ขุนพลชุดลุยศึกเอเชียนเกมส์ ต้องบอกลาไปคุยกับหมอทั้งหมด
ไม่นับรวม สุริยา สิงห์มุ้ย ที่ยังไม่พร้อมลงสนามเกมแรก หรือ เอกนิษฐ์ ปัญญา ที่ติดภารกิจรับใช้ต้นสังกัด เจแอล เชียงใหม่ ต้องเดินทางตามไปทีหลัง
โลกฟุตบอลเปลี่ยนผ่าน วรวุธ ไม่ได้มีวัตถุดิบลูกหนังที่ถูกเรียกว่า “ยุคทอง” เหมือน 4 ปีก่อน เขาคัดสรรนักเตะเจนใหม่จากสายตาตัวเอง พร้อมความเชื่อว่า เด็กที่เลือกมาจะตอบโจทย์บนผืนหญ้าได้
ซึ่งมันไม่ง่ายเลย…
กอปรกับคู่ต่อสู้ในสายอย่าง อุซเบกิสถาน, กาตาร์ และ บังคลาเทศ โดยเฉพาะสองชื่อแรก มีทรัพยากรลูกหนังดีกว่าทีมชาติไทยชุดนี้ทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้คือเหตุหลที่ทำให้ วรวุธ ซื้อเกมรับอย่างเต็มตัว
เหลียวมามองที่ผู้เล่น ผู้รักษาประตู ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งที่หนักใจน้อยสุดในทีมชุดี้ ขวัญชัย สุขล้อม และ นนท์ ม่วงงาม คือ 2 นายทวารที่ทำผลงานได้ดีกับต้นสังกัดทั้งคู่ เรียกว่าหยิบใครลงมาใช้งานก็ “อุ่นใจ”
กองหลัง : คู่เซ็นเตอร์คาดว่า ชินภัทร ลีเอาะ จะเป็นตัวยืน โดยมีสองแนวรับชุดแชมป์ซีเกมส์อย่าง ศฤงคาร พรหมศุภะ และ วรวุฒิ นามเวช เป็นตัวเลือกลงคู่เป็นคู่ขา นอกจากนี้ยังมี ปวีร์ ตัณฑะเตมีย์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือก หากต้องรับมือกองหน้าฝ่ายตรงข้ามที่มีความเร็ว เพราะทีมชุดนี้หมอนี่คือผู้เล่นที่มีความไวสุดในแผงแนรับ
แบ็กขวา : ตามที่เกริ่นนำไปข้างต้น การไร้ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ ทำให้ รัตนากร ใหม่คามิ รับบทบาทแทน โดยมี ชินภัทร โยกมายืนทดแทน
แบ็กซ้าย : เจ้าของสัมปทานตำแหน่งนี้อาจเป็น ชัยวัฒน์ บุราณ ที่ “โค้ชโย่ง” ลองจับมาเล่นตัวรับแล้วเวิร์ก น่าจะเป็น 1 ในตัวเลือกนำมา โดยมี วันชัย จารุนงคราญ กับ สุริยา สิงห์มุ้ย ผลัดเปลี่ยน
มิดฟิลด์ : ด้วยระบบที่คาดว่า วรวุธ จะใช้คือ 4-1-4-1 หรือ 4-4-1-1 ทำให้ นพพล พลคำ จะเป็นฮาร์ดแมนคอยตัดเกม โดยมี 2 แข้งฝีตีนดีอย่าง สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ และ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ สร้างสรรค์เกมร่วมกัน โดยมี พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล รอรับโอกาสบนม้านั่งสำรอง
ริมเส้น : ฝั่งขวา ธนาสิทธิ์ ศิริผลา จะจองกฐินตัวจริงไว้แน่นอน โดยมี มนตรี พรหมสวัสดิ์ คอยสอดแทรก ขณะที่ฝั่งซ้าย สุภโชค สารชาติ น่าจะเป็นตัวเลือกแรก มี เอกนิษฐ์ ปัญญา หรือ ชัยวัฒน์ รอโอกาส
กองหน้า : เจนรบ สำเภาดี มีประสบการณ์ทีมชุดนี้มานาน และคือตัวเลือกแรกในแดนหน้าอย่างแน่นอน โดยมี ศุภชัย ใจเด็ด ดาวรุ่งวัย 19 ปี รอโอกาสอยู่ข้างสนาม
เหล่านี้คือทรัพยากรลูกหนังภายใต้การคุมทีมของ “มูรินโย่ง” ที่เตรียมยืมแผนรสบัส “มูรินโญ่” จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาใช้ที่อินโดนีเซีย
“แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้เป็นพอ” ยังเป็นวลีที่ยังถูกหยิบมาใช้ในยุคปัจจุบัน น่าสนใจว่า สมการลูกหนังที่เดิมพันด้วยเกมรับของ วรวุธ ใน เอเชียนเกมส์ หนนี้ จะเป็นเช่นไร
หากผลลัพธ์ออกมาดี คำสรรเสริญเยินยอ จะถูกปาใส่ไม่ขาดสาย แต่หากไม่เป็นตามที่วางเดิมพันไว้ คงต้องน้อมรับคำก่นด่าจากรอบด้านเช่นกัน
โลกลูกหนังมันเป็นแบบนี้แหละ…
