:::     :::

มือที่ยังวางเปล่า

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
สิ่งที่หวาดหวั่นสำหรับการออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่ เกิดขึ้นจริงในที่สุดเมื่ออาร์เซน่อลไม่สามารถเก็บคะแนนได้ในการลงสนาม 2 นัดแรก

ผลลัพธ์ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้แตกต่างจากนัดแรกที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เช่นเดียวกับรายละเอียดอีกหลายอย่าง

อูไน เอเมรี่ เจอการรับน้องสุดโหดแบบที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่เคยเจอจนถึงขั้นต้องแพ้ 2 นัดในการเริ่มฤดูกาลใหม่

เอเมรี่ งัดแท็กติก 4-2-3-1 มาสู้กับเชลซีโดยมี ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ประจำการหน้าเป้า ไม่ได้ถ่างออกด้านข้างบ่อยครั้งเหมือนนัดแรกกับ แมนฯ ซิตี้

เขาเลือกปรับทีมแดนกลางด้วยการถอด อารอน แรมซี่ย์ ออก แล้วส่ง อเล็กซ์ อิโวบี้ ลงแทนในการทำเกมรุกร่วมกับ เมซุต โอซิล และ เฮนริค มคิทาร์ยาน 

ขณะที่แนวรับมี นาโช่ มอนเรอัล ฟิตทันลงเสียบตำแหน่งแบ็กซ้ายซึ่งกำลังเป็นปัญหาเนื่องด้วย เซอัด โคลาซินัช กับ เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส บาดเจ็บยาวทั้งคู่ 

อาร์เซน่อลพยายามไล่เพรสซิ่งตั้งแต่แดนบน แต่เหมือนเข้าทางเชลซีของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เพราะหลังบ้านเปิดช่องมากมาย ทำให้ จอร์จินโญ่ ได้ออกบอลแทงทะลุหลายต่อหลายครั้ง 


อาร์เซน่อลเสียประตูเร็วอีกครั้ง

จอร์จินโญ่ เป็นนักเตะที่เซนส์บอลดีอยู่แล้ว แทบไม่ต้องปรับตัวเข้ากับการเล่นในพรีเมียร์ลีก อีกทั้งคุ้นเคยกับแท็กติกของซาร์รี่ทะลุปรุโปร่ง

ช่วงแรกที่เชลซีนำรวดเร็ว 2 ประตู อดีตกองกลางนาโปลี มีบทบาทอย่างมากเพราะรู้ว่าจังหวะออกบอล หรือดึงช้า-เร็ว 

ตรงกันข้ามกับ อาร์เซน่อล ที่หัวใจสำคัญในเกมรุกอย่าง เมซุต โอซิล เล่นได้ย่ำแย่ทั้งที่ได้ลุยในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ทำเกมตรงกลางอย่างถนัด

เชลซีเหนือกว่าอาร์เซน่อลอย่างมากในการออกสตาร์ต อีกทั้งมีโอกาสแล้วทำได้ ต่างจากปืนใหญ่ที่ยิงทิ้งยิงขว้างไปหลายครั้งในช่วงที่ตั้งลำได้

เป็นครึ่งแรกที่แบ่งเป็น 2 ส่วนชัดเจน เชลซีเริ่มต้นดีกว่า ขณะที่อาร์เซน่อลเริ่มหาจังหวะการเล่นของตัวเองได้ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย

ช่วงที่ปืนใหญ่เริ่มฟื้น เชลซีกลับช็อตแบบดื้อๆ เมื่อเจอการจ่ายตัดแบ็กทั้งสองข้างแล้วมีตัวเติมขึ้นไปเกือบสุดเส้นหลังแล้วตบกลับมาบริเวณจุดโทษ

เฉพาะครึ่งแรกครึ่งเดียว อาร์เซน่อลเจาะเชลซีในลักษณะเดิม ซ้ายบ้าง-ขวาข้าง และจบด้วยการยิงถึงเน้นๆ ถึง 7 ครั้ง ทว่าทำได้เพียง 2 ประตู 


ชโคดราน มุสตาฟี่ ประกบ อัลบาโร่ โมราต้า ไม่อยู่ในจังหวะเชลซีนำ 2-0

โอบาเมย็องพลาดชัดเจน 2 ครั้ง เช่นเดียวกับ อิโวบี้ กับ มคิทาร์ยาน ที่ควรเบิ้ลสกอร์ให้ตัวเองได้ ขณะที่ลูกตวัดเสาแรกของโอซิลก็เฉี่ยวออกเสาไกลไปอีก

มันควรเป็นเกมที่อาร์เซน่อลคัมแบ็กได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการแซงนำก่อนจบครึ่งแรกด้วยซ้ำ แต่พอสกอร์ 2-2 ก่อนกลับเข้าอุโมงค์ ทุกอย่างจึงคาดเดาได้อย่างในอีก 45 นาทีที่เหลือ

เอเมรี่เห็นปัญหาในทีมตัวเองและตัดสินใจเปลี่ยนตัวเร็วในการออกมาลุยครึ่งหลัง 

กรานิต ชาคา มีเกมที่น่าผิดหวังไม่ต่างจากนัดแรกกับ แมนฯ ซิตี้ จึงเป็นโอกาสของ ลูคัส ตอร์เรยร่า ที่ได้ลงมาช่วยเจ้าหนู มัตเตโอ เกวนดูซี่ ในแดนกลาง

แต่ที่เซอร์ไพรส์กว่าคือการถอด เมซุต โอซิล ออกจากสนามตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้าย

ต้องยอมรับว่าเอเมรี่กล้ามากเพราะจอมทัพตาปรือถือเป็นผู้เล่นที่แทบแตะต้องไม่ได้ในยุคเวนเกอร์ หากถูกเปลี่ยนออกก็มักเป็นช่วงท้ายเกมที่ไม่มีผลต่อสกอร์แล้ว 

เอเมรี่ทำให้เห็นเลยว่าตัดสินใจบนพื้นฐานของฟอร์มการเล่นจริงๆ ไม่ใช่อิงชื่อเสียงความเป็นซูเปอร์สตาร์แล้วหมายความว่าการันตีตัวจริงหรือเล่นครบ 90 นาที

การกล้าส่ง มัตเตโอ เกวนดูซี่ ออกสตาร์ตในการเจอทั้ง แมนฯ ซิตี้ และเชลซี คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด 


มัตเตโอ เกวนดูซี่ (ขวา) กลายเป็นสิ่งดีงามไม่กี่อย่างใน 2 นัดที่ปืนไร้แต้ม

ดาวรุ่งจากลอริยองต์ทำผลงานเป็นรูปธรรมชัดเจนในช่วงปรีซีซั่น เมื่อถึงการแข่งขันจริงก็ได้รับความไว้วางใจแม้อายุอานามจะน้อยกว่าใคร และฤดูกาลก่อนยังเล่นในระดับลีกรองของฝรั่งเศสก็ตาม

อาร์เซน่อลแพ้กลับมา แต่เป็นอีกเกมที่เกวนดูซี่ทำผลงานได้น่าประทับใจอีกนัด วิ่งพล่านขึ้นลงทั่วสนาม และมีการเปิดบอลที่ค่อนข้างแม่นยำ สร้างโอกาสให้ทีมได้ดีกว่ารุ่นพี่หลายคนเสียอีก

แต่น่าเสียดายที่ผู้เล่นอาร์เซน่อลหลายคนไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีและเล่นได้ต่ำกว่าที่แฟนบอลคาดหวัง

ครึ่งหลังเชลซีไม่ได้กดใส่อาร์เซน่อลเหมือนช่วงเริ่มครึ่งแรก แต่อาร์เซน่อลเองก็ไม่ได้หาโอกาสอย่างที่ทำได้ในครึ่งแรกเช่นกัน 

ซาร์รี่ปิดรอยโหว่ของตัวเองได้ดีขึ้น อาร์เซน่อลแทบจะโจมตีในแบบเดียวกับครึ่งแรกไม่ได้แม้กระทั่งตอนที่ส่ง อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ ลงมาเป็นกองหน้าเพิ่มอีกคนก็ตาม 

45 นาทีสุดท้าย เชลซีผ่านบอล 363 ครั้ง และเป็นการผ่านบอลในพื้นที่สุดท้ายของอาร์เซน่อล 130 ครั้ง ขณะที่อาร์เซน่อลทำได้ไม่ถึงครึ่ง (180 และ 50 ครั้งตามลำดับ)

การรักษาจังหวะการเล่นให้ได้ต่อเนื่องคือสิ่งที่เอเมรี่ยังทำได้ไม่ดีนักแม้มีการเปลี่ยนตัวและปรับการเล่นแล้วก็ตาม 

ผ่านเกมยากไป 2 นัด เอเมรี่ยังไม่มีทีมในใจ แนวรับต้องปรับเรื่องการสื่อสารกันใหม่ ขณะที่ ชโคดราน มุสตาฟี่ และ เอคคอร์ เบเยริน ก็ยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นในยุค เอเมรี่ 

ในแดนกลางกลับมีเพียงเกวนดูซี่ที่สอบผ่านในช่วงเริ่มต้นกุนซือใหม่แบบนี้ ที่เหลือต้องเร่งฟอร์มทั้งหมด 

ที่น่าตกใจเล็กน้อยคือ ใน 3 คนจาก 4 คนที่เอเมรี่ว่างตัวให้เป็น ''รองกัปตันทีม'' ทั้ง โอซิล, ชาคา และ แรมซี่ย์ ยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันใน 2 นัดที่ผ่านมา


ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ต้องปรับเรื่องการจบสกอร์ให้ดีขึ้นกว่านี้

2 นัด 0 แต้มไม่ใช่การออกสตาร์ตที่ดีในลีกที่ยากที่สุดลีกหนึ่งของโลก แต่อย่างน้อยเอเมรี่ก็ได้เห็นจุดอ่อนในทีมตัวเองชัดเจนมากขึ้น 

โปรแกรมต่อจากนี้คือช่วงเวลาที่จะได้ไล่อุดจุดอ่อนให้หมดโดยเร็ว และเล่นในระบบที่เอเมรี่พยายามวางเอาไว้ 

8 นัดจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมจะไม่เจอทีมในกลุ่ม ''ท็อปซิกซ์'' ไล่ตั้งแต่ เวสต์แฮม (เหย้า), คาร์ดิฟฟ์ (เยือน), นิวคาสเซิ่ล (เยือน), เอฟเวอร์ตัน (เหย้า), วัตฟอร์ด (เหย้า), ฟูแล่ม (เยือน), เลสเตอร์ (เหย้า) และ คริสตัล พาเลซ (เยือน) 

เป็นช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ต้องโกยแต้มให้มากที่สุดและเตรียมพร้อมก่อนศึกหนักในนัดแรกของเดือนพฤศจิกายน

นั่นคือ...ลิเวอร์พูล  


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด