:::     :::

ชัยชนะพร้อมการบ้านของที่ต้องแก้

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
7,045
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลังเปิดสนามด้วยชัยชนะเหนือ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ถึงเวลาที่พลพรรคเชลซีจะได้เห็นทีมลงสนามในสแตมฟอร์ด บริดจ์เกมแรกในยุคของ เมาริซิโอ ซาร์รี่
         ถือเป็นบททดสอบที่ดีกับการคุมทีมในบ้านเกมแรกของนายใหญ่ชาวอิตาลี โดยมีคู่แข่งระดับ อาร์เซน่อล เป็นคู่แข่ง
         การจัดทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 11 ผู้เล่นตัวจริงยึดมาจากเกมที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยนในระบบ 4-3-3 เกปา อาร์ริซาลาบาก้า เฝ้าเสา คู่เซนเตอร อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ ดาวิด ลุยซ์ โดยมี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ มาร์กอส อลอนโซ่ ยืนแบ็คขวาซ้าย แดนกลาง จอร์จินโญ่ ปักหลักอยู่ตรงกลางโดยมี รอสส์ บาร์คลี่ย์ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่อยู่สูงกว่า แนวรุก วิลเลี่ยน และ เปโดร โรดริเกซ ปั้นเกมริมเส้น ส่วนกองหน้า อัลบาโร่ โมราต้า ที่โดนกระตุ้นมายืนหัวหอก
        ที่น่าแปลกก็คือ เอแด็น อาซาร์ ที่ดูแล้วสภาพร่างกายกลับมาฟิตเต็มที่กลับเป็นแค่สำรอง ทั้งที่เกมที่แล้วก็ลงมาแอสซิสต์ให้ เปโดร โรดริเกซ ยิงประตูได้ โดยที่ซุ้มมานั่งสำรองปรับจากเกมที่แล้วโดยมี มาเตโอ โควาซิช มิดฟิลด์ที่ยืมมาจาก เรอัล มาดริด สแตนบายด์อยู่
         มุมหนึ่งเข้าใจว่าการเล่นของทีมดูลงตัวจากเกมแรกทำให้สตาร์ทีมชาติเบลเยี่ยมยังต้องนั่งอยู่ข้างสนามไปก่อน เพียงแต่คู่แข่งอย่าง ฮัดเดอร์สฟิลด์ คงไม่อาจจะที่ยกขึ้นมาเทียบกับ อาร์เซน่อล ได้ ก่อนที่จะมีการเปิดเผยในภายหลังว่าเจ้าตัวยังไม่ฟิตพอที่จะลงสนามแบบเต็มเกม
         ตั้งแต่เริ่มเกม เชลซี บีบเกมเพรสซิ่งสูงทันทีซึ่งนั่นทำให้เกมแทบจะอยู่ในการครอบครองของทีมเกือบทั้งหมด และไม่ถึงสิบนาทีก็มาได้ประตูแรกซึ่ง จอร์จินโญ่ เปิดบอลเร็วให้ มาร์กอส อลอนโซ่ หลุดเดี่ยวมาทางซ้ายก่อนไหลเข้ากลางให้ เปโดร โรดริเกซ ใช้ความเร็วสปีดมายิงด้วยซ้ายบอลเข้าประตูไป
          
         ถือเป็นการประสานงานที่ยอดเยี่ยมซึ่งมาจากความเข้าใจในเกมและรู้ใจกันของนักเตะรวมถึงไหวพริบของผู้เล่นในจังหวะนั้นนั้นด้วย
         จากประตูนี้ไม่แปลกใจว่าทำไม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ถึงพยายามอย่างหนักที่จะดึงตัว จอร์จินโญ่ มาให้ได้ก่อนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะได้ไป เพราะด้วยศักยภาพทีม "เรือใบ" หากได้สตาร์ทีมชาติอิตาลีรายนี้ไปอีกคิดไม่ออกเลยว่าคู่แข่งจะเอาอะไรไปสู้
         การขึ้นเกมของทัพ "สิงห์บลูส์" อาศัยช่องว่างด้านหลังของแผงแนวรับของคู่แข่งได้เป็นอย่างดีจังในจังหวะวางยาวหรือจ่ายทะลุช่องมีให้เห็นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแนวรับ "ปืนใหญ่" ความเร็วเป็นรองแนวรุกของ เชลซี ทุกกระบวน
         แต่ทว่าทัพสิงห์ที่ได้ประตูนำลงไปเล่นเกมรับเกือบต้องสังเวยประตู มัตเตโอ เกวนดูซี่ จ่ายบอลทะลุช่องให้ เอคตอร์ เบเยริน หลุดเดี่ยวในเขตโทษด้านขวาแต่มุมไม่มีไหลกลับมาที่ ปิแอร์-เอเมริก โอบาเมย็อง วิ่่งมาแปด้วยขวาโล่งๆแต่กลับยิงข้ามคานไปอย่างเหลือเชื่อ 
       
         หรือต้องบอกว่า เชลซี รอดพ้นการเสียประตูชนิดที่ยังไงก็ต้องเสีย
         และจังหวะรุกถัดมาไม่ถึงนาทีทีมสิงโตน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอนก็มาได้ประตูที่สอง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า วางบอลยาวทางแดนตัวเองให้ อัลบาโร่ โมราต้า สปีดเข้าหาบอลก่อนล็อคหลบ ชโครดาน มุสตาฟี่ หลังหัก (รวมถึง ปีเตอร์ เช็ก ที่ถลำไป) ก่อนจะยิงด้วยซ้ายบอลเรียดเข้าประตูไปอย่างยอดเยี่ยม
         ถือเป็นประตูเรียกความมั่นใจอย่างยอดเยี่ยม ทำให้นึกถึง โมราต้า คนเดิมในช่วงต้นฤดูกาลที่แล้วกลับอีกครั้ง เพราะนี่ไม่ใช่แค่ประตู แต่เป็นการเข้าทำจากความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
         ซึ่งมันยังรวมถึงการประสานงานของสองนักเตะสเปนที่หายไปนานอย่าง อัซปิลิกวยต้า ที่ฤดูกาลที่แล้วเราได้เห็นบ่อยครั้งในจังหวะวางบอลของแบ็คขวารายนี้ที่ให้กับเพื่อนร่วมชาติ ช่วยให้ทีมได้ลุ้นประตูอยู่เสมอ
         แต่เกมรับของ เชลซี ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีช่องให้เจาะหลังจกจังหวะรอดโดนเจาะทางขวาแล้วรอด คราวนี้ทางซ้ายบ้าง นาโช่ มอนเรอัล ไหลบอลเข้าเขตโทษด้านซ้าย อเล็กซ์ อีโวบี้ สอดมาก่อนตวัดเข้ากลาง เฮนริค มคิทาร์ยาน ได้ยิงโล่งๆแต่เหมือนฉายภาพซ้าจังหวะของ โอบาเมย็อง บอลเหินข้ามคานไปแบบไม่น่าเชื่อ
         แต่การประมาทเกินไปนำมาซึ่งการเสียประตูแรกของทีมในฤดูกาลนี้จากจังหวะที่โดนตัดบอลในแดนตัวเองก่อนที่ อเล็กซ์ อีโวบี้ หักกลับมาหน้าเขตโทษ เฮนริค มคิทาร์ยาน กดด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบมุมแม้ เกปา ล้มตัวปัดปลายนิ้วแต่ไม่พ้นบอลเข้าประตูไป
                   
         พอทำนบแตกกลายเป็นทีม "ปืนใหญ่" ที่กำลังใจมาเต็มบุกต่อ โดยเฉพาะการทะลุทะลวงจากริมเส้นที่เกือบได้ประตูสองประตู และประตูที่ได้ก็มาจาการเจาะด้านข้าง จากฝั่งซ้ายเปลี่ยนมาเป็นฝั่งขวาที่ เฮนริค มคิทาร์ยาน ได้ตั้งป้อนเปิดคนเดียวมาแถวจุดโทษคราวนี้เป็น อเล็กซ์ อีโวบี้ วิ่งมากดตูมเดียวตุงตาข่ายเหมือนจังหวะที่พลาดไปสองหนก่อนหน้า แต่คราวนี้เป็นประตู
         จากความได้เปรียบและรูปเกมที่เหนือกว่า เล่นไปเล่นมากลายเป็นรอง และต้องบอกว่าโชคดีที่ครึ่งแรกจบลงด้วยผลเสมอด้วยซ้ำเพราะหลังจากโดนตีเสมอ อาร์เซน่อล ยังมีโอกาสอีกถึงสองหนน่าจะได้ประตูออกนำ 
         ในครึ่งหลัง เชลซี ออกสตาร์ทแบบไม่ได้เหนือกว่าเหมือนอย่างในช่วงต้นครึ่งแรก การขึ้นเกมรุกทางริมเส้นโดน อูไน เอเมรี่ สั่งลูกทีมปิดช่องโหว่ไปเรียบร้อยทำให้การขึ้นเกมรุกของเจ้าบ้านฝืดลงไปอย่างเห็นได้ชัด การเจาะตรงกลางต้องบอกว่าไม่ง่าย แม้จะมีจังหวะที่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ทะลวงจนได้สับไกติดมือ ปีเตอร์ เช็ก ออกหลังไปก็ตาม
         ครบหนึ่งชั่วโมงของเกม ซาร์รี่ ต้องทำการเปลี่ยนแปลงเอา วิลเลี่ยน และ บาร์คลี่ย์ ออก โดยให้ เอแด็น อาซาร์ กับ มาเตโอ โควาซิช ลงเล่นแทน
                 
         การลงมาของ อาซาร์ ทำให้เกมรุกทางริมเส้นของทีมกลับมาวูบวาบอีกครั้ง ซึ่งอันที่จริงประสิทธิภาพไม่ได้ลดลง เพียงแต่ อาร์เซน่อล แก้เกมมาได้เป็นอย่างดีมากกว่า
         เมื่อจังหวะเข้าทำตรงกลางไม่เป็นผล ซาร์รี่ ส่งไพ่ใบสุดท้ายอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่รูปร่างสูงใหญ่ลงมาแทนที่ โมราต้า หวังว่าจะมีทีเด็ดจากลูกกลางอากาศบ้าง
         กระทั่งช่วงสิบนาทีสุดท้าย เชลซี มาพังประตูสำเร็จ และก็มาจากแอสซิสต์ของ เอแด็น อาซาร์ ที่เปิดบอลในเขตดทษด้านซ้ายให้ มาร์กอส อลอนโซ่ ยิงบอลลอดขา ปีเตอร์ เช็ก เข้าไป
         เป็นอีกครั้งที่ อาซาร์ ลงมาเป็นไพ่เด็ดเหมือนนัดที่แล้ว เพียงแต่ลูกแอสซิสต์ในนัดนี้มีความสำคัญมากกว่า
         ชัยชนะในเกมที่หืดขึ้นคอในเกมนี้ฟ้องภาพหลายๆอย่างที่เป็นของ เชลซี รวมถึงจากเกมแรกที่ผ่านมา
               
         เกมรุกเหมือนเล่นกันสามคน แต่ที่จริงแล้วมีถึง 6 คน ไม่นับสามแนวรุกอย่าง เปโดร, วิลเลี่ยน และ โมราต้า ยังมี อลอนโซ่ ที่เติมเกมสูงตลอดทางซ้าย ขณะที่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ก็มักมีจังหวะสอดให้เห็นบ่อยครั้งเพื่อหลอกล่อคู่แข่งที่ตามจับแต่คนอื่น สุดท้ายอาวุธลับก็คือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ดูมีอิสระมากทีเดียวซึ่งดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสสอดเข้าถึงในเขตโทษหลายครั้งแถมมีจังหวะจบสกอร์เหมือนกัน
         แต่นั่นเป็นเรื่องของเกมรุก ในเกมรับที่แบ็คเติมสูง เมื่อเจอกับคู่แข่งที่มีจังหวะตอบโต้ที่พร้อมเล่นงาน (เช่นเดียวกับพวกเขาเล่นงานคู่แข่ง) 
         เมาริซิโอ ซาร์รี่ ต้องเน้นทั้ง วิลเลี่ยน และ เปโดร หรือใครก็ตามที่เล่นเกมรุกริมเส้นต้องลงมาช่วยแบ็คในการเล่นเกมรับด้วย เพราะเกมนี้น่าจะเป็นจุดที่ทำให้คู่แข่งที่เจอกับ เชลซี ใช้มาเล่นงานพวกเขาได้ ซึ่งบางครั้งมิดฟิลด์ต้องปิดช่องตรงกลางและไม่อาจจะปลีกตัวมาช่วย
         หรือจะตำแหน่งกองกลางตัวรับที่คอยปัดกวาดหน้าแผงหลัง เห็นได้ชัดว่า จอร์จินโญ่ ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะช่วยสกรีนหน้าเขตโทษได้ดีเท่ากับการมี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำหน้าที่ 
                     
         สองประตูที่เสียหรือจังหวะเข้าทำของ อาร์เซน่อล จากริมเส้นและจ่ายเข้ากลาง ถ้าเป็นฤดูกาลที่แล้ว ก็องเต้ จะเป็นคนที่คอยมาปัดกวาดตรงนี้ แต่เมื่อตำแหน่งการยืนที่เปลี่ยนไปทำให้เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะลงมาช่วยได้ทุกครั้ง
         สามคะแนนในเกมนี้มาพร้อมกับการบ้านที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ต้องแก้ไข แม้ว่าในครึ่งหลังจะปิดโอกาสคู่แข่งได้ดี แต่มันก็ยังมีช่องเล็ดลอดอยู่บ้าง เพียงแต่ยังไม่โดนลงโทษอย่างในครึ่งแรกเท่านั้น หากว่า อาร์เซน่อล คมกว่านี้ เชลซี คงเสียมากกว่าสองประตูแน่
         เกมรุกที่หวังผลได้อยู่แล้วหากปรับเกมรับให้แน่นกว่าที่เป็นอยู่ ฤดูกาลนี้คงได้เห็น "สิงห์บลูส์" ได้ลุ้นกันแบบยาวๆ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด