:::     :::

"ผมต้องการคว้าแชมป์" ริยาด มาห์เรซ

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
3,432
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ช่วงซัมเมอร์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลือกเสริมทัพนักเตะตัวหลักเพียงรายเดียว

นั่นคือในรายของ "ริยาด มาห์เรซ" จากเลสเตอร์ ซิตี้ แน่นอนว่า เขาจะเข้ามาเติมเต็มเกมรุกทางริมเส้นของทัพ "เรือใบสีฟ้า" ให้มีความหลากหลาย และน่ากลัวมากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม กว่าที่จะกลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัว 60 ล้านปอนด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยจุดเริ่มต้นของเด็กที่มีเชื้อสายแอลจีเรีย ที่ไปเกิด และเติบโตที่ประเทศฝรั่งเศส รายนี้ ต้องผ่านอะไรมามากมาย

มาห์เรซ จะมาเล่าถึงการเล่นฟุตบอลข้างถนน, การเล่นกับทีมระดับล่าง, การไปทดลอบฝีเท้าที่ผิดหวัง, การได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ราวเทพนิยาย และการย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้เราฟังกัน

"ที่กรุงปารีส คุณสามารถมองหานักเตะฝีเท้าดีได้เลย เพราะว่าเราเล่นฟุตบอลกันด้านนอกตลอดเวลา" เขาเล่าถึงวัยเด็ก "เมื่อผมมาที่อังกฤษ ผมไม่ค่อยเห็นผู้คนออกมาเล่นฟุตบอลด้านนอกสักเท่าไหร่ ผิดกับที่ฝรั่งเศส เราจะมีสนามเล็กๆกระจายอยู่เต็มไปหมด นอกจากนี้ ยิมเนเซียม ยังเปิดตลอดเวลาด้วย เราสามารถกินที่นั่น หลับนอนที่นั่นได้เลย มันเป็นแบบนี้เกือบทุกวัน"

"เมื่อคุณเป็นเด็ก และเห็นคนที่อายุมากกว่าโชว์ลีลาการเล่นฟุตบอล คุณก็จะเกิดความรู้สึกอยากเล่นด้วย เมื่อคุณเติบโตขึ้นมา เด็กๆก็จะเฝ้ามองมาที่คุณบ้าง มันเป็นแบบนี้เสมอแหล่ะ มีนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อยู่ตลอด"

"ผมมีโอกาสได้ย้ายร่วมอะคาเดมี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ตอนอายุ 18 กับสโมสรเล็กๆอย่างแก็งแปร์ มันทำให้ผมเติบโต และเป็นลูกผู้ชายอย่างเต็มตัว"

"ผมเล่นฟุตบอลด้วยสัญชาตญาณนะ ไม่เคยมีภาพในหัวเลย ไม่มีใครมาบอกผมว่า ผมต้องวิ่งไปทางซ้าย หรือวิ่งไปทางขวา คุณต้องการอะไรแบบนี้ภายในทีมที่คุณเล่นด้วย"

มาห์เรซ เล่าถึงการทดสอบฝีเท้าต่างแดนเป็นครั้งแรกว่า "หลังจากนั้น ผมมีโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับเซนต์ เมียร์เรน ทีมในลีกสก็อตแลนด์ ผมลงเล่นไปเพียงแค่ 4 เกมกับทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 23 ปีของพวกเขา"

"แน่นอนว่า ผมสามารถผลิตสกอร์ได้ถึง 7 ประตูด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ตลอดทุกเกมพวกเขาจะพูดเพียงว่า -โอเค เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากัน เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากัน และเดี๋ยวเราค่อยมาว่ากัน วนเวียนอยู่อย่างนั้น-"

"ผมไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษ ได้เลย ทุกสถานที่มันเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ เพราะมันเป็นช่วงของเดือนมกราคมพอดี ผมไม่มีอะไรติดตัวด้วย มันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ผมมีความคิดอยากกลับบ้านแล้ว"

"เอเย่นต์ พยายามโน้มน้าว ทว่าผมตัดสินใจกลับบ้าน รองเท้าฟุตบอลของผมยังคงติดอยู่ที่สนามซ้อมของเซนต์ เมียร์เรน ด้วยผมเห็นจักรยานคันหนึ่งแถวโรงแรม ผมเลยปั่นมันไปที่สนามซ้อม เพื่อไปเอารองเท้าก่อน จากนั้นก็ไปสนามบิน"

กระทั่งปี 2010 มาห์เรซ ย้ายไปร่วมทีมเลอ อาฟร์ หลังจากนั้น 4 ปี เขาจะกลับมาที่สหราชอาณาจักรอีกหน ด้วยการย้ายมาร่วมทีมเลสเตอร์ ซิตี้ กับค่าตัวแพียงแค่ 400,000 ปอนด์ 

เขาบอกว่า "ย้อนกลับไปตอนแรก ผมไม่มีความคิดจะย้ายมาเล่นในลีกอังกฤษ เลยนะ ผมอยากเล่นที่ลีกฝรั่งเศส หรือสเปน มากกว่า เพราะผมคิดว่ามันเหมาะกับแนวทางการเล่นของตัวผมเอง"

"แต่ชีวิต คุณไม่มีทางล่วงรู้หรอก คุณไม่สามารถมั่นใจกับอะไรได้เลย เมื่อผมมาถึงที่อังกฤษ ผมกลับเจอฟุตบอลในแบบที่ผมชอบ และฟุตบอลที่ผมต้องการ"

"การย้ายมาเลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ชีวิตผมง่ายมากขึ้น เราสามารถคว้าแชมป์มาครอง เอาชนะในทุกเกม และเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมในช่วงเวลานั้น"

"มันง่ายมากสำหรับผมในการมีส่วนร่วมกับการทำประตูของทีม ดังนั้น มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการที่ผมจะลงหลักปักฐานที่อังกฤษ ผมชอบแนวทางการเล่นแบบบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ผมรักมันจริงๆ"

นอกจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกแล้ว มาห์เรซ ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของพีเอฟเอ จากผลงานยิงไปรวม 17 ประตู ทั้งที่เล่นในตำแหน่งปีก

กระทั่งต้นฤดูกาลนี้ เขาย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวมหาศาลกว่า 60 ล้านปอนด์ ส่งผลให้เขากลายเป็นนักเตะเชื้อสายแอฟริกัน ที่มีค่าตัวแพงสุดไปโดยปริยาย 

เขาย้อนความทรงจำถึงข่าวคราว และการเกือบย้ายทีมในช่วงเดือนมกราคม ที่ผ่านมาว่า "ผมรู้ดีว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่อยากให้ผมย้ายทีมออกไป พวกเขาอยากเก็บตัวผมไว้ มันก็เป็นเรื่องที่ยุติธรรม พวกเขาอยากเก็บนักเตะที่ยอดเยี่ยมของทีมเอาไว้"

"หลังจากที่ตลาดซื้อขายนักเตะปิดตัวลงไป ผมก็กลับมามีสมาธิกับการเล่นฟุตบอลของตัวเอง และลืมเรื่องราวการย้ายทีมไปซะ ผมต้องการมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับทีม มันช่วยให้ผมมีความมั่นใจ"

ในท้ายที่สุด มาห์เรซ กลายเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือกเข้ามาเสริมทีมในช่วงฤดูกาลนี้ โดยกล่าวว่า "แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมสำหรับผม ผมดีใจมากเลยที่ได้ย้ายมาร่วมทีมแห่งนี้"

"โดยเฉพาะกับแนวทางที่พวกเขาเล่นในสนาม มันลงตัวกับผม และเข้ากับธรรมชาติฟุตบอลของผมด้วย แน่นอนว่า ผู้จัดการทีมก็เป็นปัจจัยสำคัญ ในการที่ผมจะเลือกย้ายมาเล่นที่นี่ ไม่มีข้อสงสัยเลย มันเป็นการย้ายทีมที่สมบูรณ์แบบ ผมไม่อยากไปทีมไหน นอกจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงทีมเดียว"

"ผมย้ายมา และอยากช่วยเหลือทีมให้มากที่สุด พัฒนาตัวเอง และคว้าแชมป์มากกว่านี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำผลงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อในฤดูกาลที่แล้ว และเราจะกลับไปชนะอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง นี่คือแนวความคิดของที่นี่ ตอนนี้ผมมีนักเตะรางวัลยอดเยี่ยมแห่งปี แต่ผมต้องการมากกว่านั้น"

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด