:::     :::

ชนะรวด, ยิงมากที่สุดและจ่าฝูง

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
7,061
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เฮฮา, ปาร์ตี้, ฉลอง สังสรรค์ หรืออะไรก็ตามแต่ คงเป็นสิ่งที่แฟน เชลซี ในช่วงนี้ได้เฮกันมากหน่อย
         กับชัยชนะ 5 รวดในฤดูกาลนี้พร้อมกับทะยานขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของตารางคะแนนหลังกำชัยชนะเหนือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้อย่างสวยงาม
         เป็นอีกครั้งที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เปลี่ยนแปลงทีมจากเกมล่าสุด ก็คือการเอาสองนักเตะสำรองที่ลงมาแล้วทำได้ดีในเกมที่แล้วอย่าง เปโดร โรดริเกซ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาประสานงานกับ เอแด็น อาซาร์ แทนที่ วิลเลี่ยน และ อัลบาโร่ โมราต้า
         แดนกลางยังยึดชุดเดิมทั้ง จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ มาเตโอ โควาซิช เช่นเดียวกับในแนวรับมี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ดาวิด ลุยซ์, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ มาร์กอส อลอนโซ่ ส่วนผู้รักษาประตู เกปา อาร์ริซาบาลาก้า เฝ้าเสา
         ไม่แปลกใจที่เกมนี้กองหน้าชาวฝรั่งเศสได้โอกาสลงสนามหลังยิงประตูให้กับ ฝรั่งเศส ในเกมพบ ฮอลแลนด์ ซึ่งดูแล้วความมั่นใจและประโยชน์กับเกมดูจะมีมากกว่า โมราต้า
        
         กองหน้าชาวสเปนนับตั้งแต่พังตาข่ายในเกมกับ อาร์เซน่อล แต่ในสภาพการณ์โดยรวมแล้วไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรเลย โดยเฉพาะลูกทีเด็ดทีขาดดูยังช่วยทีมไม่ได้เท่าที่ควร ซึ่งแม้ว่าทาง ชิรูด์ จะช้ากว่าแต่มีทั้งลูกกลางอากาศ ลูกแข็งแกร่ง และการเล่นบอลกับพื้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้เช่นกัน
         ทว่าในนัดนี้เกมที่ไม่ได้เหนือกว่าของ เชลซี ก็ต้องมาโดนเปิดแผลจากฟรีคิกทางกราบขวาเปิดเข้าโขตโทษ ฌอน มอร์ริสัน โหม่งบอลตั้งมาหน้าประตู โซล บัมบ้า ตัดหน้า จอร์จินโญ่ ชาร์เข้าประตูไปเป็นประตูขึ้นนำนาทีที่ 15
ถือเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่ทีมต้องตามหลังคู่แข่งหลังจากสี่เกมแรกออกนำมาตลอด
         "สิงห์บลูส์" ที่ดูเนือยๆเหมือนจะโดนกระตุ้น นาทีเดียวให้หลังน่าตีเสมอได้จังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ เข้าเขตโทษด้านขวาก่อนสับไกติดเซฟ นีล เอเธอร์ริดจ์
        
         อีกจังหวะกับการต่อบอลสุดสวย ดาวิด ลุยซ์ วางบอลยาวจากแดนตัวเอง เปโดร โรดริเกซ ต่อให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ชิ่งให้ มาเตโอ โควาซิช หลุดไปยิงจ่อๆแต่ก็ยังติด นีล เอเธอร์ริดจ์ ไม่งั้นจะเป็นการประสานงานและปิดด้วยการยิงประตูที่งดงามเลย
         และด้วยความที่เป็นรองเยอะ ไม่ต้องแปลกใจว่าในทุกจังหวะปะทะ นักเตะของ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ จะต้องลงไปนอนกองเพื่อถ่วงเวลาอยู่บ่อยครั้ง เล่นเอาแฟนสีน้ำเงินในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ส่งเสียงโห่กันเกรียว
         แต่หลังจากที่ครองบอลบุกอยู่ข้างเดียว เชลซี ก็มาตามตีเสมอจนได้จากการประสานงานที่มีให้เห็นไม่บ่อยนัก อันโตนิโอ รือดิเกอร์ จ่ายบอลให้ เอแด็น อาซาร์ ข้ามหลอกให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ชิ่งทีเดียวกลับให้ อาซาร์ ดึงจังหวะหลอก โจ เบนเน็ตต์ อย่างเหนือชั้นเข้าเขตโทษด้านขวาคล้ายกับจังหวะแรก แต่คราวนี้กดบอลพุ่งเรียดเสียบเสาสองอย่างเด็ดขาด
        
         ทัพสิงห์เดินหน้าต่อทันทีและมาแซงนำสำเร็จ มาร์กอส อลอนโซ่ ไหลบอลให้ เปโดร โรดริเกซ ที่เติมมาทางซ้ายเปิดเข้ากลางบอลย้อนกลับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แต่หัวหอกน้ำหอมอาศัยขาที่ยาวยื่นไปแตะบอลมาที่ เอแด็น อาซาร์ สอดมายิงบอลแฉลบเข้าประตูไปให้ทีมนำ 2-1 เมื่อจบครึ่งแรก
         ครึ่งหลังผ่านไปแค่ 5 นาที เมาริซิโอ ซาร์รี่ จำต้องเปลี่ยนตัวคนแรกเมื่อ มาเตโอ โควาซิช มีอาการบาดเจ็บ เป็นโอกาสของ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่จะได้โชว์ผลงานบ้าง
         เกมอยู่ในการครอบครองของ เชลซี ทั้งหมด เพราะ คาร์ดิฟฟ์ เองก็ไม่ได้บีบเกมสูงเหมือนช่วงต้นครึ่งแรก ก่อนที่กุนซือชาวอิตาลีจะเปลี่ยนเอา วิลเลี่ยน ลงมาเล่นแทน เปโดร โรริเกซ (ตามฟอร์ม)
         เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าปีกตัวจี๊ดชาวสเปนคงหมาะกับการเป็นนักเตะสำรองมากกว่าที่จะเล่นเป็นตัวจริง ซึ่งเกมนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสแต่เจ้าตัวมีจังหวะสับไก 2-3 หนแต่ยิงไม่เข้ากรอบเลย
        
         ซึ่งเกมครึ่งหลัง เชลซี เองครองบอลบุกเยอะก็จริงแต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันอะไรมากจากจังหวะเข้าทำ ซึ่งก็ยังพยายามเน้นเจาะตามช่องเหมือนเดิมเพียงแต่มันไม่ลงล็อคเหมือนในครึ่งแรก
         แต่เมื่อสกอร์นำอยู่แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเครียดมากมายนัก เพราะเกมรุกของ คาร์ดิฟฟ์ เองก็ไม่ได้สร้างความระคายเคืองอะไรเลย 
         เกมที่ไหลไปเรื่อยๆตามจังหวะ เชลซี ก็มาได้จุดโทษนาทีที่ 80 เมื่อทาง วิลเลี่ยน ไปโดน โซล บัมบ้า ทำฟาวล์ คนที่รับหน้าที่ไม่ใช่ใคร เอแด็น อาซาร์ ที่สังหารตุงตาข่ายเป็นแฮตทริคของตัวเองในเกมนี้ไปด้วย ก่อนที่ วิลเลี่ยน จะมาปั่นด้วยขวาหน้าเขตโทษบอลเสียบตาข่ายสวยงามปิดท้ายให้ทีมชนะไปสบายๆ 4-1 กระโดดขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงของตารางด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่เหนือกว่า ลิเวอร์พูล 
         ชนะรวด 5 เกมเปิดสนาม ยิงได้ 14 ประตู ทำให้ เชลซี เป็นทีมที่ยิงประตูเยอะที่สุดในลีกเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เจะาตาข่ายได้เท่ากัน 
        
         ผลการแข่งขันจากเกมนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไม เมาริซิโอ ซาร์รี่ และ เชลซี ถึงพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะรั้งตัว เอแด็น อาซาร์ ให้อยู่กับทีมให้ได้ เพราะว่ากันตามตรงหากไม่มีสตาร์ชาวเบลเยี่ยมแล้ว เกมรุกของทีมต้องบอกว่าไรพิษสงจริงๆ
         ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานกับเพื่อนหรือพาบอลไปเอง อาซาร์ สร้างประโยชน์อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะดึงตัวประกบเปิดทางให้เพื่อนหรือลุยเข้าไปยิงเอง
         และคนสำคัญอีกคนในเกมนี้ก็คงหนีไม่พ้น โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ทั้งเก็บบอล เป็นตัวชน และยังแอสซิสต์ให้กับเพื่อน แบบนี้คงยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมต่อไปแน่ๆ
         5 เกม 15 คะแนนเต็ม แม้จะมีแค่เกมกับ อาร์เซน่อล ที่ดูเป็นศึกหนัก ส่วนที่เหลือเจอกับทีมที่ไม่แข็งนัก แต่การที่ไม่พลาดเก็บชัยชนะกับทีมเล็กนี่แหละคือหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้หลายต่อหลายทีมไปไม่ถึงฝั่งฝันมาแล้ว
        
         ถือเป็นครั้งที่ 4 ที่ทีมเก็บชัยชนะ 5 เกมแรกของซีซั่นต่อปี 2005/06 ในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ ทีมจบด้วยการเป็นแชมป์ อีกสองหนในปี 2009/10 ภายใต้การนำทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ จบด้วยการเป็นแชมป์ และในปี 2010/11 จบด้วยการเป็นรองแชมป์
         จากนี้ไปจะเข้าสู่ช่วงเดือนหฤโหดที่ต้องลงสนามอย่างต่อเนื่องทั้งในพรีเมียร์ลีก, ยูโรปา ลีก, มีเกมที่ต้องบู๊กับคู่แข่งแย่งแชมป์โดยตรงอย่าง ลิเวอร์พูล สองเกมซ้อนๆในลีก คัพต่อด้วยพรีเมียร์ลีกแถมมีศึกใหญ่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วย 
         ถือเป็นเกมสำคัญที่ต้องเน้นสุดๆแม้ว่าจะเป็นการเล่นในบ้านก็ตาม
         ช่วงหนึ่งเดือนต่อจากนี้นี่แหละจะเป็นตัววัดว่า เชลซี แข็งแกร่งจริงหรือที่ผ่านมาเป็นแค่ภาพลวงตา
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด