:::     :::

จบไม่ลง

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
3,037
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ศึก "ลอนดอน ดาร์บี้" ณ สังเวียนลอนดอน สเตเดี้ยม ของ เวสต์แฮม ปิดฉากพร้อมกับ เชลซี ยังคงรักษาสถิติไม่แพ้ใครในฤดูกาลนี้ไว้ได้ แต่สถิติชนะรวดได้ถูกหยุดลง
         เมาริซิโอ ซาร์รี่ กลับมาใช้ทีมที่ดีที่สุดอีกครั้ง เกปา อาร์ริซาบาลาก้า เฝ้าเสา กองหลัง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ ดาวิด ลุยซ์ ลงประสานงานกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กับ มาร์กอส อลอนโซ่ แดนกลาง มาเตโอ โควาซิช ที่เจ็บเล็กน้อยในเกมที่จะ คาร์ดิฟฟ์ ฟิตกลับยืนตัวจริงเคียงข้าง จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ส่วนแนวรุก เอแด็น อาซาร์ กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ออกสตาร์ทตัวจริงโดยมี วิลเลี่ยน เป็นอีกหนึ่งในสามประสาน
         น่าสนใจก็คือสำรองที่ได้ลงเล่นตลอดอย่าง เปโดร โรดริเกซ ที่สลับกันลงสนาม วิลเลี่ยน บาดเจ็บจากเกมยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีไม่มีชื่ออยู่ในทีมแม้แต่ม้านั่งสำรองเมื่อดูจากขุมกำลังข้างสนามมีแค่ อัลบาโร่ โมราต้า และ วิคเตอร์ โมเสส ที่เป็นแนวรุกที่จะลงมาแทนสามคนข้างหน้าได้

         เวสต์แฮม ถือว่าน่าสนใจกับการเสริมทัพอย่างบ้าคลั่งในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านด้วยงบประมาณกว่า 100 ล้านปอนด์ เพื่อหวังเบียดเข้าไปอยู่ในกลุ่ม "บิ๊ก 6" ของตาราง 
         และหลังจากที่ออกสตาร์ทด้วยการพ่ายแพ้ 4 เกมติด ก็กลับมาคว้าชัยชนะเกมแรกได้สำเร็จในเกมล่าสุดเหนือ เอฟเวอร์ตัน 3-1 ที่กูดิสัน พาร์ค เรียกความมั่นใจได้อย่างเต็มเปี่ยม
         และยิ่ง ลิเวอร์พูล ที่เก็บชัยชนะไปได้ก่อนหน้านี้ ขึ้นไปนั่งจ่าฝูงแทนที่ เชลซี ก็น่าสนใจว่า "สิงห์บลูส์" จะทำยังไงเพื่อเก็บชัยชนะกลับรังในเกม "ลอนดอน ดาร์บี้" แบบนี้
         จาก 15 นาทีแรกที่ทีม "ขุนค้อน" สู้ได้ดี สามารถเอาตัวรอดจากการบีบพื้นที่สูงของ เชลซี ได้และมีโอกาสโฉบเฉี่ยวไปหน้าประตูคู่แข่งหลายครั้ง แต่สุุดท้ายบอลก็ไปอยู่ในการครอบครองของ "สิงห์บลูส์" ตามสไตล์ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่

         เกมรุกริมเส้นของ เชลซี เริ่มทำงานโดยเฉพาะทางฝั่งซ้ายที่ประสานงานกันสนุกเสมอทั้ง เอแด็น อาซาร์, มาร์กอส อลอนโซ่ รวมถึง มาเตโอ โควาซิช เริ่มมีจังหวะได้เปิดเข้ากลางแต่ยังไม่เข้าเป้าเท่านั้น
         ส่วนทางฝั่งขวาดูเหมือนกว่า วิลเลี่ยน จะเดียวดายเกินไปหน่อย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ไม่ได้เติมสูงจนสุดบ่อยเหมือนอีกฝั่ง ขณะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำได้ดีในจังหวะบีบพื้นที่ ไล่บอลหรือแย่งบอล แต่จังหวะที่เด็ดทีขาดต้องยอมรับว่ายังไม่ดีเท่าไร
         ครองบอลบุกเยอะแต่จังหวะจบสกอร์ไม่จะแจ้งไม่มีให้เห็นแถมยังเกือบโดนสวนร่วงจังหวะเกมโต้กลับ อันเดร ยาร์โมเลนโก้ พาบอลลุยเข้าเขตโทษด้านขวาลกบอลจี้ใส่ ดาวิด ลุยซ์ ก่อนแหย่บอลเข้าทาง มิชาล อันโตนิโอ อัดด้วยขวาจ่อๆยังดีที่ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ปิดมุมไว้แล้ว
        
         ด้วยความที่ทีมเล่นเกมรุกสูงตลอดโดยเฉพาะทางซ้ายมันก็เปิดพื้นที่ให้ เวสต์แฮม ได้โต้กลับอยู่เสมอซึ่งแต่ละคนก็ล้วนมีความเร็วและอันตรายทั้ง อันเดร ยาร์โมเลนโก้, มิชาล อันโตนิโอ และ เฟลิเป้ อันแดร์ซอน
         เชลซี ครองบอลบุกมากกว่าก็จริง แต่จังหวะเข้าทำหาโอกาสจบสกอร์ไม่ได้ และยิ่งเล่นไปนานๆดูเหมือน เวสต์แฮม จะยิ่งเล่นได้แน่นขึ้น โดยเฉพาะเกมริมเส้นที่เริ่มจะดักทางบอลได้เกือบทั้งหมด
         ท้ายครึ่งแรก "สิงห์บลูส์" มาได้โอกาสเน้นๆในการลุ้นประตู เอแด็น อาซาร์ เปิดบอลจากทางซ้ายลึกไปในเขตโทษด้านขวา วิลเลี่ยน อยู่คนเดียวแตะจังหวะเดียวเข้ากลาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไดโหม่งจ่อๆบอลหลุดเสาสองไปอย่างน่าเสียดาย
         ถือเป็นครึ่งแรกที่เกมสนุกทีเดียว ทั้งสองทีมล้วนแล้วแต่มีโอกาสด้วยกันแม้บอลจะอยู่ในการครอบครองของ เชลซี เป็นส่วนใหญ่
        
         ด้วยสถิติที่เหลือทุกอย่างของ เชลซี ในครึ่งแรก ก็อยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนให้มันเป็นประตูได้ยังไงเท่านั้น
         เกมรุกที่เนือยลงไปในครึ่งหลังสปีดบอลกลับมาเร็วอีกครั้งในช่วงครึ่งหลัง ขณะที่ เวสต์แฮม ก็ยังเล่นดักจังหวะโต้กลับเหมือนเดิม แต่ในจังหวะเข้าทำเริ่มมีจังหวะเปิดบอลเข้าเขตโทษให้เห็นมากขึ้นหลังจากที่เน้นต่อบอลมาตลอด
         ผ่านหนึ่งชั่วโมงมาเล็กน้อย เมาริซิโอ ซาร์รี่ ขยับเปลี่ยนตัวคนแรก ซึ่งไม่ได้มีอะไรแปลกให้ อัลบาโร่ โมราต้า ลงมาเล่นแทน โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนตัวตามสเต็ปเหมือนเดิม
         หัวหอกชาวสเปนเกือบลงมาเป็นตัวทีเด็ดจังหวะเตะมุมสั้น เอแด็น อาซาร์ เล่นที่ วิลเลี่ยน ไหลให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เปิดเข้าเขตโทษลึกไปเสาสอง เดวิด ลุยซ์ จับบอลลั่นแต่มาเข้าทาง อัลบาโร่ โมราต้า จิ้มจ่อๆแต่ ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้ ยังไวออกมาเซฟด้วยหน้าได้เยี่ยม
         น่าจะเป็นจังหวะที่แนวรับของ เวสต์แฮม เปิดโอกาสให้มากที่สุดแล้ว เสียดายที่ไม่อาจจะส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้
         วิลเลี่ยน ดูมีบทบาทมากขึ้นเมื่อ เอแด็น อาซาร์ โดนประกอบติดหนัก แต่ก็อย่างที่บอกเอาไว้ สตาร์บราซิลไม่มีคนที่จะคอยมาช่วยเล่นเพราะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ยังขาดความแน่นอนอยู่บ้างในจังหวะทีเด็ดทีขาด จน อาซาร์ ต้องหุบเข้ากลางบ่อยครั้งเพื่อมาช่วย
        
         แกรี่ เคฮิลล์ และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ คืออีกสองตัวสำรองที่ถูกส่งลงมาแทน อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่เล่นมาติดๆจนมีอาการบาดเจ็บรวมถึง มาเตโอ โควาซิช ที่เหมือนเป็นแพทเทิร์นของการเปลี่ยนตัว
         เวสต์แฮม เกือบจะทำแสบใส่จากจังหวะเปิดบอลทางซ้าย อันเดร ยาร์โมเลนโก้ สอดมาโหม่งเน้นๆแต่หลุดกรอบไปอย่างเหลือเชื่อ
         โอกาสที่น่าจะได้ประตูของ เชลซี ในช่วงท้าย รอสส์ บาร์คลี่ย์ ได้จังหวะปั่นด้วยขวาหน้ากรอบแต่ ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้ ยังบินปัดออกหลังได้อย่างยอดเยี่ยม
         สุดท้ายสกอร์บอร์ดไม่ทำงาน จบลงด้วยเสมอกันไป 0-0 ต้องยกเครดิตให้ มานูเอล เปเยกรินี่ ที่วางแผนเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นหลังจากที่้สียประตูมาทุกเกมในฤดูกาลนี้ไม่เว้นแม้แต่ในบอลถ้วยกับ เอเอฟซี วิมเบิลดัน
         อีกนัยหนึ่ง เชลซี ต้องย้อนกลับมามองตัวเองแล้วสำหรับการเล่นเกมรุกยามที่เจาะเกมรับคู่แข่งไม่ได้ก็ไม่มีลูกทีเด็ดที่จะเล่นงานเลย
        
         เมื่อ เอแด็น อาซาร์ โดนจับระดับ 2-3 คนรุม ก็กระดิกลำบาก วิลเลี่ยน วูบวาบแต่เป็นบอลเท้าเดียว เมื่อยืนเกมรุกทางขวาจังหวะลากตัดเข้ากลางไม่มีสับไกให้เห็นเลย
         และเมื่อพยายามเจาะทั้งตรงกลางและริมเส้นแต่ไม่ได้ผล ลูกยิงจากแถวสองถือเป็นอาวุธสำคัญ สุดท้ายที่เห็นจะแจ้งก็แค่ลูกยิงของ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแล้ว
         ลูกตั้งเตะเล่นงานคู่แข่งไม่ได้แม้จะมีหัวหอกร่างใหญ่อย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ อยู่ในสนามก็ตาม 
         สุดท้ายอย่างที่ย้ำไปแล้วหลายครั้งก็คือขุมกำลัง "สำรอง" ที่อ่อนชั้นเกินกว่าที่จะทดแทนตัวจริง หาก เปโดร โรดริเกซ ไม่เจ็บซะก่อน เกมนี้ก็คงเห็นถูกเปลี่ยนลงมาเล่นตามฟอร์ม แต่นั่นคือทั้งหมดที่ทีมระดับ เชลซี มี ซึ่งต้องบอกว่าไม่เพียงพอกับการลุ้นแชมป์เลย
         หนึ่งคะแนนในเกมนี้ทำให้ทีมหล่นมาอยู่กับดับ 3 ของตาราง โอเค สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอะไรตามหลัง ลิเวอร์พูล 2 คะแนน และแต้มเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เห็นได้ชัดว่าแนวโน้มเกมรุกของอีกสองทีมดูมีอะไรมากกว่าที่ เชลซี มี
         สัปดาห์หน้ามีเกมใหญ่ที่จะเปิดสแตมฟอร์ด บริดจ์ รับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังต้องไปเยือนแอนฟิลด์ในเกมคาราบาว คัพก่อน
         ถือว่าเกมบอลถ้วยเป็นการชิมลางก่อนที่จะฟาดแข้งกันในลีกวึ่งส่งผลต่อการลุ้นแชมป์โดยตรง
         ผลการแข่งขันจะเป็นตัวบอกเองว่า เชลซี ดีพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยัง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด