5 ข้อเด็ดที่เหล่าเดอะ ค็อป ได้จากเกม ลิเวอร์พูล 1-2 เชลซี
ความพ่ายแพ้ของลิเวอร์พูลคาบ้านต่อเชลซี ในเกมคาราบาว คัพ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา อาจจะทำให้ความฝันในการลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลหายไป 1 รายการ หรืออาจจะทำให้ลิเวอร์พูลหยุดสถิติชนะรวดนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลไว้ที่ 7 เกม แต่สิ่งที่ได้รับจากเกมในค่ำคืนนั้น อาจจะเป็นลายแทงขุมทรัพย์ที่ทำให้ลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถบุกไปคว้า 3 คะแนน จากเชลซีถึงรังสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในวันเสาร์นี้ก็เป็นได้
ว่าแล้วก็ลองมาย้อนดูกันครับว่าเกมเมื่อคืน เหล่าเดอะ ค็อป ได้อะไรจากความพ่ายแพ้บ้าง
1 อาซาร์ คือ ความแตกต่าง
ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าเกมเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ใครเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในสนาม ... การปรากฎตัวของเอแดง อาซาร์ แนวรุกทีมชาติเบลเยี่ยม คือ จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เชลซีพลิกกลับมายิงเอาชนะทีมเจ้าบ้านไปได้ ตลอดระยะเวลากว่า 40 นาทีที่อยู่ในสนาม อาซาร์อาจจะไม่ได้มีทุกวินาทีที่เล่นดี แต่กับนักเตะที่ดีที่สุดในลีก อังกฤษ อย่างเขา ขอแค่โอกาสเพียงแค่ครั้ง หรือ 2 ครั้ง เขาสามารถบรรดาลประตูให้กับต้นสังกัดได้ทันที และเมื่อคืนนี้ก็เป็นอาซาร์ที่เป็นคนเปิดลูกตั้งเตะจากทางขวา เป็นที่มาของประตูแรก ในขณะที่ประตูชัยของทีมนั้น ก็เป็นเขาเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเกมรุก ก่อนที่จะกระชากหลบ 4 คน ไปยิงประตูได้สำเร็จ นี่ยังไม่รวมอีกหลายจังหวะที่อาซาร์เรียกฟาวล์จากผู้เล่นลิเวอร์พูลได้อีก และนี่คือ การบ้านชิ้นสำคัญของคล็อปป์เลยก็ว่าได้ หากอยากจะหยุดความอันตรายของเชลซี คุณต้องหยุดกองกลางหน้าหยกรายนี้ให้จงได้ โชคดีที่เกมวันเสาร์นี้ลิเวอร์พูลจะใช้ผู้เล่นตัวจริงกลับมาลงสนามอีกครั้ง และหวังว่าแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และเฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค จะสามารถรับมือกับอาซาร์ได้ดีกว่าอัลแบร์โต้ โมเรโน่ และเดยัน ลอฟเรน นะ
2 แพลน บี มีอยู่จริง
ในเกมคาราบาว คัพ เราได้เห็นทั้ง 2 ทีม ใช้ผู้เล่นชุด 2 ลงสนามห้ำหั่นกันมากมายหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะทางฝั่งเจ้าบ้านที่เปลี่ยนใช้ตัวสำรองถึง 9 ตำแหน่งเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนตัวมากขนาดนี้ เรื่องของทีมเวิร์คอาจจะต้องใช้เวลาในการจูนกันมากหน่อย ช่วง 30 นาทีแรก ลิเวอร์พูลชุดนี้เจียนอยู่เจียนไปจะเสียประตูอยู่หลายต่อหลายหน ต้องขอบคุณที่ไซม่อน มินโญเล่ต์ ยังช่วยป้องกันไว้ได้หลายต่อหลายครั้ง แต่พอผ่านช่วงปรับตัวไป เราได้เห็นแล้วว่า ตัวสำรองของลิเวอร์พูลที่เดิมเป็นจุดอ่อนในหลายๆฤดูกาลก่อน กลับสามารถสู้กับทีมอย่างเชลซีที่แม้จะเป็นตัวสำรองแต่ก็ถือว่าเป็นรุ่นใหญ่ได้อย่างสูสี และดูจะทำได้ดีกว่า ถึงขั้นออกนำก่อน 1-0 ด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเชลซีไม่มีอาซาร์ลงมาเปลี่ยนเกม เกมนี้อาจจะเป็นชัยชนะที่ไม่ยากลำบากของทางฝั่งเจ้าบ้านแล้วก็เป็นได้
บรรดาตัวสำรองหลายๆคนโชว์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขามีดีกว่าการเป็นตัวสำรองอดทน และหากเกินเหตุการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาพร้อมที่จะทดแทนตัวจริงได้อย่างไม่มีปัญหา
เอ่อ ... ที่เขียนมานี่ อาจจะยกเว้นแบ็คซ้ายไว้ตำแหน่งนึงนะครับ แฮร่ !!
3 ฟาบินโญ่
เป็นเครื่องหมายคำถามที่แฟนบอลสงสัยกันเยอะมาก ว่าทำไมฟาบินโญ่ ถึงยังไม่ได้โอกาสลงสนามสักที ทั้งๆที่ย้ายมาด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 39 ล้านปอนด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แม้เจอร์เก้น คล็อปป์ จะได้อธิบายเหตุผลให้กับเหล่าแฟนบอลหลายต่อหลายครั้งว่า ฟาบินโญ่ ยังต้องปรับตัวกับสไตล์การเล่นในเกาะอังกฤษอีกสักพัก แต่ก็เหมือนกับแฟนบอลยังไม่หายข้องใจตรงจุดนี้ เมื่อคืนนี้เจอร์เก้น คล็อปป์ เลยจัดฟาบินโญ่ลงสนามให้แฟนบอลได้ชมเป็นขวัญตาซะเลย และผลก็ออกมาเป็นอย่างที่คล็อปป์พูดจริงๆ ฟาบินโญ่ ยังดูสับสนใจการยืนตำแหน่ง รวมถึงความเร็วในเกมการเล่นยังดูช้ากว่าคนอื่น ซึ่งแม้เราจะเห็นจากเกมเมื่อคืนว่า ฟาบินโญ่ เก่งกาจในเรื่องการเข้าสกัดบอลเพียงใด แต่หากเราต้องการเห็นเขาประสบความสำเร็จแล้ว คงต้องให้คล็อปป์เคี่ยวเข็นอีกสักพักใหญ่ๆ ก่อนจะปล่อยลงสนามอีกครั้ง
4 สเตอริดจ์ กับโอกาสกลับมาเกิดใหม่
ดาเนียล สเตอริดจ์ อาจจะพลาดโอกาสทองยิงประตูโล่งๆพลาดในเกมนี้ แต่ลูกยิงตีลังกาช่วยให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำก็ถือว่าเป็นการแก้ตัวที่เยี่ยมยอด ความจริงเกมนี้สเตอริดจ์ทำได้โอเค คือ แม้จะดูห่างไกลกับตอนช่วงพีค แต่สเตอริดจ์คนนี้ก็ถือว่า ดีเกินกว่าที่แฟนบอลปรามาสไว้ว่าเป็นม้าแก่หมดสภาพ ฤดูกาลนี้สเตอริดจ์ยิงไปแล้ว 3 ประตู ทั้งๆที่ลงสนามเป็นตัวจริงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น และหากเกมนี้เขาไม่พลาดลูกยิงโล่งๆ กับลูกยิงไกลที่ดันไปแม่นคานลูกนั้น แฮททริกต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่ความฟิตของสเตอริดจ์อาจจะยังไม่เพียงพอลงสนาม หลายคนจึงติดภาพช่วงทดเจ็บที่เจ้าตัวหมดก็อกแล้ว มาวิจารณ์กัน มากกว่าที่จะดูความจริงเรื่องสถิติยิงประตูของเขาในฤดูกาลนี้
5 VAR ไม่เคยเข้าข้างลิเวอร์พูล
นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่สนามแอนฟิลด์ได้ต้อนรับเทคโนโลยี VAR หรือ Video Referee Assistant มาติดตั้งและทดลองในเกมที่ลิเวอร์พูลลงเล่น ครั้งก่อนหน้าหากใครจำกันได้ นั่นคือเกมเอฟเอ คัพ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ลิเวอร์พูลพลาดท่าพ่ายเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-3 เวลาผ่านไป 8 เดือน ลิเวอร์พูลโคจรกลับมาพบกับ VAR อีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาก็ยังคงเจออาถรรพ์ VAR หลอกหลอนอยู่ ในเกมที่มีจังหวะกังขาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งลูกทำแฮนด์บอลของเชส ฟราเบกราส ในเขตโทษ หรือที่โจษจันที่สุด คือ ประตูแรกของเชลซีในเกมนี้ที่ก้ำกึ่งเหลือเกินว่าล้ำหน้าหรือไม่ ชื่อของเควิน เฟรนด์ ผู้ตัดสินใจเกมนี้ คงจะอยู่ในใจของเหล่าบรรดาเดอะ ค็อป ไปอีกนานแสนนานแน่นอน