:::     :::

เหตุผลที่ เชลซี บุกดับห้าว ลิเวอร์พูล

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
5,743
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชัยชนะเหนือ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ในเกมคาราบาว คัพ ถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับทัพ เชลซี ก่อนที่จะถึงศึกสำคัญอย่างพรีเมียร์ลีกในวันเสาร์นี้
         ทัพ "หงส์แดง" ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กำลังห้าวจัดหลังกวาดชัยชนะมาเรียบในฤดูกาลนี้แบ่งเป็นในลีก 6 นัดซ้อน นั่งเก้าอี้จ่าฝูงของตาราง รวมถึงในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ทุบของแข็งอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มาได้ 3-2
         เช่นเดียวกันกับฝั่งสีน้ำเงินที่ยังไม่แพ้ใครในฤดูกาลนี้ แม้ว่าเกมล่าสุดจะทำได้แค่เสมอกับ เวสต์แฮม 0-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก แต่มองจากรูปเกมในแต่ละนัดต้องบอกว่า "ทิศทาง" การเล่นของ เมาริซิโอ ซาร?รี่ ถูกถ่ายทอดสู่ลูกทีมได้เป็นอย่างดี
         เพราะทั้ง 8 เกมที่ลงสนามในทุกรายการฤดูกาลนี้ "สิงห์บลูส์" ครองบอลมากกว่าคู่แข่งทุกเกม
        
         การจัดทีมกลายเป็นเรื่องปกติของถ้วยใบนี้ไปแล้วที่จะเป็นโอกาสของบรรดาผู้เล่นสำรองหรือดาวรุ่ง
         จะด้วยขุมกำลังสำรองไม่เพียงพอหรืออะไรก็ตามแต่ ชื่อชั้นของนักเตะที่ลงสนามในเกมนี้อาจจะเรียกได้ว่าดีอยู่ในระดับ "เกรดบี" ไล่ตั้งแต่ วิลลี่ กาบาเยดร่ ผู้รักษาประตู กองหลังแซมด้วยชุดใหญ่อย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, แกรี่ เคฮิลล์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ เอแมร์ซอน 
         แดนกลางชื่อเสียงไม่มีใครไม่รู้ทั้งทั้ง รอสส์ บาร์คลี่ย์, เชส ฟาเบรกาส และ มาเตโอ โควาซิช โดยมี วิคเตอร์ โมเสส, วิลเลี่ยน และ อัลบาโร่ โมราต้า เป็นสามแนวรุก
        
         เรียกได้ว่านักเตะแต่ละคนสามารถเป็นตัวหลักของทีมอื่นได้อย่างสบายๆ 
         เชลซี ที่ครองบอลมากกว่าอยู่เล็กน้อยในเกมนี้ แต่โอกาศจบสกอร์เป็น ลิเวอร์พูล ที่ทำได้ดีกว่า รวมถึงหลายปัจจัยในเกมที่ทำให้ชัยชนะตกอยู่ที่ฝั่งสีน้ำเงิน ซึ่งวันนี้เราไปดูกันว่าเหตุผลที่ชัยชนะอยู่กับสิงโตแห่งกรุงลอนดอนเป็นเพราะอะไร
การเปลี่ยนตัวของ เมาริซิโอ ซาร์รี่
        
         หลังเกมผ่านพ้นเกมครึ่งแรกแบบไร้สกอร์ 10 นาทีผ่านไปในครึ่งหลัง เมาริซิโอ ซาร์รี่ น่าจะมองเห้นอะไรบางอย่างในเกมถึงเลือกเปลี่ยนตัวคนแรกด้วยการเอาของใหญ่อย่าง เอแด็น อาซาร์ ลงสนามแทนที่ วิลเลี่ยน หลังจากที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร 
         แต่ว่าผ่านพ้นไปไม่ทันไรทีมกลับมาเสียประตูให้กับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ก่อนจะตามมาด้วยการเปลี่ยน มาเตโอ โควาซิช ออกแล้วให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มาลงช่วยตัดเกม เนื่องจากแผงกองกลางทั้งสามคนไม่มีใครที่เป็นตัวเล่นเกมรับธรรมชาติเลย
         เชส ฟาเบรกาส เป็นตัวกำหนดจังหวะของเกม แต่ปัญหาคือความเชื่องช้าและตัดเกมไม่ได้ แน่นอนว่าการลงมาของมิดฟิลด์ตราไก่ช่วยให้ทีมมีสมดุลในแดนกลางมากขึ้น ก่อนที่ ดาวิด ลุยซ์ จะลงมาแทน อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่เหมือนกับยังจับจังหวะการเล่นในสไตล์ของ ซาร์รี่ ไม่ได้
        
         จริงอยู่ที่การลงมาของ อาซาร์ นั้นก็ไม่ถือว่าได้บอลมากเท่าไรนักเพราะทาง ลิเวอร์พูล เองก็รู้ดีถึงความร้ายกาจของตัวนักเตะ แต่อย่างที่เค้าว่ากัน "ยอดนักเตะไม่ต้องรู้ว่าจะรังสรรค์ผลงานออกมาตอนไหน" ท้ายที่สุดแล้วด้วยความสามารถเฉพาะตัวของสตาร์ชาวเบลเยี่ยมที่เป็นคนส่งให้ "หงส์แดง" แพ้เกมแรกในฤดูกาลนี้ พร้อมกับส่ง เชลซี ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
         ทั้งสามคนที่เปลี่ยตัวลงสนามล้วนแต่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุดอย่างที่สุด และมันส่งให้ทีมพลิกกลับมาคว้าชัยชนะได้สำเร็จ
ความมุ่งมั่นและยึดมั่น
        
         เห็นได้ชัดว่าเกมในครึ่งหลังของ เชลซี เหนือล้ำกว่าครึ่งแรกแบบเทียบกันไม่ได้ ทีมกดดัน ลิเวอร์พูล ได้มากขึ้น ครองเกมได้ดีขึ้น สร้างสรรค์โอกาสได้มากขึ้น 
         แต่ก่อนอื่นนั้นก็คงต้องยกเครดิตให้กับ วิลลี่ กาบาเยโร่ ที่โชว์ฟอร์มเซฟสวยๆช่วยให้ทีมยังคงอยู่ในเกมเปิดโอกาสให้ทีมยังสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้อยู่ โดยเฉพาะจังหวะของ ซาดิโอ มาเน่ และ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์
         รูปเกมที่จังหวะเข้าทำเปี่ยมไปด้วยอันตรายของ ลิเวอร์พูล ในขณะที่เกมริมเส้น เซอร์ดาน ชากิรี่ ก็สร้างปัญหาให้กับ เอแมร์ซอน ได้อย่างมาก 
         แต่หลังจากผ่านพ้นจังหวะอันตรายทุกอย่างของ เชลซี กลับมาอยู่ในทางที่ดีขึ้น เชส ฟา เบรกาส และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ หลีกเลี่ยงการยิงไกลที่เสี่ยงจะทำให้ทีมเสียบอลโดยเปล่าประโยชน์ 
         ความกระหายในการหาโอกาสจบสกอร์แม้ว่าในจังหวะได้ประตูแรกจะถูกมองว่าเป็นลูกล้ำหน้าก่อนที่ เอแมร์ซอน จะยิงเข้าไป แต่ผู้เล่นบรรดาขุนพลสิงห์บลูส์ก็ควรได้รับคำชื่นชมกับการพลิกเกมให้มาอยู่ในการครอบครองของทีมได้
ความมหัศจรรย์ของ เอแด็น อาซาร์
        
         นาทีนี้คงต้องยกให้ เอแด็น อาซาร์ เป็นนักเตะที่ผลงานร้อนแรงที่สุดในอังกฤษ หรือแม้กระทั่งในยุโรปและโลกด้วยก็ตาม
         แม้จะอยู่ในสนามอยู่เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเศษ แต่แค่ประตูเดียวที่ยิงได้และเป็นตัวตัดสินเกมนี้ก็ทำให้ผู้คนกล่าวขวัญถึงความยอดเยี่ยม กลบจังหวะกระโดดยิงของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ให้หายไปในพริบตา
         จากที่ต้องเสียมากกว่าหนึ่งประตู เอแมร์ซอน เป็นผู้จัดประกายความหวังให้ทีมหลังพังประตูตีเสมอได้
         5 นาหลังจากนั้น ถึงเวลาที่ เอแด็น อาซาร์ จะโชว์ฝีเท้าให้โลกตะลึงอีกครา, พลิกบอลกลางสนามชิ่งกับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ก่อนพาบอลแหวกเข้าเขตโทษด้านขวาชนิดที่ไม่มีใครหยุดได้แล้วกดด้วยขวา บอลพุ่งเสียบหน้าต่างเสาสองชนิดที่ ซิมง มิโญเล่ต์ ไม่รู้ว่าจะหยุดยังไง
        
         ถึงขนาดที่ว่าเจ้าตัวยังยกให้ประตูนี้เป็นหนึ่งในการเข้าทำที่สุดยอดที่สุดของตัวเอง ติดอยู่ในอันดับ 1 ใน 3 ตลอดกาลเลย 
         ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสุดยอดในแอนฟิลด์ สองทีมที่เปิดเกมแลกกันอย่างสนุก มีประตูสวยๆให้ดู มีดราม่าในจังหวะตีเสมอ และสุดท้ายชัยชนะเป็นของ เอแด็น อาซาร์



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด