:::     :::

สองแต้มที่หายไป

วันจันทร์ที่ 01 ตุลาคม 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
4,727
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ยกที่สองในรอบ 4 ในรอบสี่วันระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนรายการจากคาราบาว คัพ มาเป็นพรีเมียร์ลีก และสังเวียนจาก แอนฟิลด์ มาเป็น สแตมฟอร์ด บริดจ์
         เชลซี ไม่มีปัญหาในการจัดทีม นักเตะตัวหลักกลับคืนสู่สนามหลังจากที่ได้พักในเกมคาราบาว คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า เฝ้าเสา กองหลัง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ดาวิด ลุยซ์ และ มาร์กอส อลอนโซ่ ทำหน้าที่
         แดนกลาง จอร์จินโญ่, มาเตโอ โควาซิช และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เป็นสามประสาน แนวรุกมี เอแด็น อาซาร์ ที่เพิ่งพังประตูชัยให้ทีมทำเกมกับ วิลเลี่ยน กองหน้าตัวเป้าเป็น โอลิวิเยร์ ชิรูด์
         ตั้งแต่เริ่มเกมทั้งสองทีมต่างก็เดินหน้าเปิดเกมบุกเข้าใส่กันเลย ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นการต่อบอลเป็นหลักเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าจังหวะเข้าทำของ ลิเวอร์พูล จะได้โอกาสจบมากกว่าตั้งแต่เกมยังไม่ถึง 5 นาทีดี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ได้ทักทายก่อน ยังดีที่มันเบาไม่เป้นปัญหาสำหรับ เกปา
       
         ซึ่งดูเหมือนว่าบรรดาแนวรับของ เชลซี จะเอาสามประสานแนวรุกของ "หงส์แดง" ไม่อยู่และปล่อยให้เข้าเขตอันตรายและได้จังหวะสับไกหลายหน เพียงแต่มันยังไม่อันตรายพอจะทำให้ทีมเสียประตู
         เจอร์เก้น คล็อปป์ อาศัยการบีบเกมสูงตั้งแต่หน้าประตูของ เชลซี เลย แม้กระทั่งในจังหวะเตะเปิดเกมของ เกปา ทั้ง ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็แทบจะมายืนปักหลักอยู่ที่หน้าประตูของ "สิงห์บลูส์" เลยด้วยซ้ำ
         ถึงกระนั้นด้วยรูปแบบการขึ้นเกมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ นักเตะเชลซีก็ยังเชื่อมั่นใจการต่อบอลและการครองบอล ไม่มีการเตะบอลโฉ่งฉ่างให้เห็น ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของทีมในยุคใหม่นี้เลย
         และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือทีเด็ดจากการตักบอลจากแดนตัวเองให้แนวรุกทะลุแผงหลังคู่แข่งซึ่งมันก็เกือบจะเล่นงาน ลิเวอร์พูล ได้จากจังหวะที่ ดาวิด ลุยซ์ วางบอลให้ วิลเลี่ยน หลุดเดี่ยวเกี่ยวบอลลงและได้ยิง แต่ต้องชม อาลีสซง ที่อ่านเกมขาดและออกมาปิดมุมได้เร็วเลยเซฟเอาไว้ได้
        
         แต่ เชลซี ก็มาพังประตูขึ้นนำจนได้จังหวะที่ มาเตโอ โควาซิช จ่ายทะลุช่องให้ เอแด็น อาซาร์ สอดทะลุกระชากบอลเข้าเขตโทษด้านซ้ายแล้วสับไกบอลพุ่งเสียบเสาสองอย่างยอดเยี่ยม
         มันไม่ใช่ประตูที่ยิงง่ายๆเลยเมื่อดูจากมุม การยืนตำแหน่งของ อาลีสซง และเป็นการยิงจากเท้าซ้ายซึ่งไม่ใช้เท้าข้างถนัด แต่สตาร์ทีมชาติเบลเยี่ยมก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ตอกย้ำให้เห็นว่าเขาคือ "เบอร์ 1" ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษอย่างที่คนยกย่องอย่างไม่เคอะเขิน
         แต่ไม่ใช่ว่าทีมจะไม่มีโอกาสเสียประตูในจังหวะที่ ซาดิโอ มาเน่ เปิดบอลให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ต่อมาถึง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เร็วกว่า มาร์กอส อลอนโซ่ เข้าเขตโทษก่อนแตะหลบ เกปา แล้วยิงด้วยขวา ยิงดีที่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ อ่านเกมและวิ่งตามลงมาสกัดบอลจากเส้นได้หวุดหวิด
                
         ถ้าเป็นจังหวะเข้าซ้ายล่ะก็บอลคงสู่ก้นตาข่ายไปแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้ กองหน้าอียิปต์จะติดๆขัดๆไปซะหมด จังหวะยิงไม่ดี จ่ายก็ขาดๆเกินๆอยู่ตลอด เหมือนกับว่าเสียความมั่นใจไป ซึ่งมันก็ส่งผลดีกับ เชลซี เพราะในช่วงต้นก็เป็น ซาลาห์ นี่แหละที่ป่วนและได้โอกาสสับไกมากกว่าใครเพื่อน
         ครึ่งแรกจบด้วยการนำของฝั่งสีน้ำเงิน แต่เกมโดยรวมต้องยอมรับว่าสูสีกันสุดๆ ค่อนไปทาง ลิเวอร์พูล ที่มีโอกาวมากกว่าด้วยซ้ำ
         และเป็นอีกครั้งที่เกมรับ เชลซี แสดงให้เห็นว่าเอาแนวรุกของผู้มาเยือน "ไม่อยู่" เกือบหนึ่งชั่วโมงของเกม ซาดิโอ มาเน่ ที่รับบอลจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในเขตโทษด้านซ้ายพาบอลแหวก เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ จอร์จินโญ่ แล้วยิงด้วยขวา ยังดีที่ เกปา ว่องไวล้มตัวปัดออกหลังไปได้แบบฉิวเฉียด
                
         แน่นอนว่าฝั่งสีน้ำเงินก็น่าจะได้ประตูเพิ่มจากจังหวะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเค้ เล่นฟรีคิกเร็วให้ เอแด็น อาซาร์ หลุดเดี่ยวแบบเน้นๆทางซ้ายก่อนได้ล่อเป้าแต่ยิงไปติด อาลีสซง อย่างน่าเสียดายสุดๆเลย
         หลังจากนั้นกลับเป็น ลิเวอร์พูล ที่เริ่มครองเกมได้และจังหวะเข้าทำดูน่าหวาดเสียวมากกว่าทั้งลูกยิงของ เซอร์ดาน ชากิรี่ สำรองที่สอดมายิงจากลูกเปิดด้านข้างแต่โดนไม่เต็มบอลหลุดออกหลังไป หรือจะลูกโหม่งเน้นๆของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ทาง เกปา น่าจะหมดสิทธิ์เซฟไปแล้ว แต่ยังดีที่ ดาวิด ลุยซ์ ถอยมาคุมเส้นและสกัดเอาไว้ได้
         เกมของ เชลซี ที่ถอยลงไปตั้งรับเต็มที่ซึ่งสัญญาณการเสียประตูก็มีให้เห็น แต่เมื่อยังยืนหยัดอยู่ได้แสดงว่ายังมีความมั่นใจ
                
         แต่ ลิเวอร์พูล ก็มีทีเด็ดจาก แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่จัดการยิงไกลนอกกรอบที่ต้องบอกว่า "ทำใจ" เพราะต่อให้เป็นผู้รักษาประตูคนไหนก็ยากที่จะป้องกันได้ กลายเป็นประตูตีเสมอในช่วงที่เกมเหลืออีกแค่นาทีเดียวก่อนทดเวลา
         ถ้าไม่ใช่ สเตอร์ริดจ์ รับรองไม่มีนักเตะ "หงส์แดง" คนไหนบ้าบอที่จะยิงแน่นอน
         แต่ส่วนหนึ่งกลับต้องโทษผู้เล่นเจ้าถิ่นที่กลับปล่อยให้ สเตอร์ริดจ์ ว่างจนได้ง้างเท้ายิง ทั้งที่แถวนั้นไม่มีเพื่อนให้ส่งแล้ว แต่ เชลซี กลับมีสามคนทั้ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่อยู่ใกล้ที่สุด รวมถึง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ วิคเตอร์ โมเสส ที่ลงมาช่วย
         หรือจะให้พูดตรงๆก็คืออาจจะต้องฟันธงไปที่ ก็องเต้ ที่ยืนห่างเกินไปทั้งที่ตรงกลางก็แน่นอยู่แล้ว น่าจะเขยิบออกมาอีกนิด
         ก็อย่างที่บอกคงไม่มีใครคิดว่า สเตอร์ริดจ์ จะยิงลูกแบบนี้เข้าประตูไปได้
                
         ดูจากฟอร์มของทั้งสองทีมในเกมนี้ผลเสมอดูน่าจะเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรม แต่หากคุณเป็นแฟนเชลซี คงไม่คิดอย่างนั้นแน่
         เพราะเมื่อคุณเป็นทีมลุ้นแชมป์ก็ต้องเก็บชัยชนะให้ได้ในการเจอกับคู่แข่งแย่งแชมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการเล่นในบ้านตัวเอง
         เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นการเปลี่ยนตัวที่ไม่มีอะไรซับซ้อน อัลบาโร่ โมราต้า แทน โอลิวิเยร์ ชิรูด์, วิคเตอร์ โมเสส ลงแทน วิลเลี่ยน และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ แทน มาเตโอ โควาซิช ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะมีโอกาสในตำแหน่งของ โมเสส หาก เปโดร ไม่เจ็บก็คงได้ลงเล่น
         ดังนั้นการเปลี่ยนตัวของทีมไม่ได้ทำให้เกมดีขึ้น เพียงแต่เป็นการเพิ่มความสดของนักเตะเท่านั้น
         แม้ว่าโดยรวมจากเกมนี้ดูแล้วเป็น ลิเวอร์พูล ที่มีโอกาสลุ้นประตูมากกว่า แต่ เชลซี ได้ประตูขึ้นนำ และโดนตีเสมอก่อนหมดเวลาไม่กี่อึดใจ ซึ่งจะบอกว่าทีมทำแต้มหายไปสองคะแนนก็คงไม่น่าเกลียดนัก
         รอถึงตอนจบฤดูกาลบางทีอาจจะต้องย้อนกลับมาเสียดายเกมนี้ก็ได้
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด