:::     :::

เห็นปัญหา = แก้ปัญหา

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
5,490
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กลับจากช่วงเบรกทีมชาติก็เผชิญหน้ากับศึกใหญ่ในการพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าคู่แข่งจะอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่มาแค่ไหน แต่ด้วยศักยภาพก็ต้องยอมรับว่าทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ หาได้เป็นรองแม้จะมาเยือนก็ตาม
         การได้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ฟิตยืนคุมแนวรับถือเป็นข่าวดีให้กับทั้งแฟนบอลและทีม เพราะยังไงก็ต้องยอมรับว่า ดาวิด ลุยซ์ ยังมีจังหวะโฉ่งฉ่างอยู่บ้าง เซนเตอร์เยอรมันจะเป็นตัวชนกับ โรเมลู ลูกากู ได้เป็นอย่างดี ส่วนแบ็คสองข้างทั้ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ มาร์กอส อลอนโซ่ ทำหน้าที่ตามปกติ ขณะที่ผู้รักษาประตูก็เป็น เกปา อาร์ริซาบาลาก้า
         แดนกลางปรับเอา มาเตโอ โควาซิช ประสานงานกับ จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ หลุดไปเป็นสำรอง ส่วนแนวรุก เอแด็น อาซาร์ กับ วิลเลี่ยน คอยปั้นเกม ส่วนกองหน้าตัวเป้ามีเซอร์ไพรส์เมื่อ อัลบาโร่ โมราต้า ได้ออกสตาร์ทก่อน โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่เป็นตัวจริงมาตลอดช่วงหลัง
         สถิติที่พออุ่นใจได้ก็คือนับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วางมือไป "ปีศาจแดง" ไม่เคยบุกมาชนะที่สแตมฟอร์ด บริดจ์เลย โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่ โชเซ่ มูรินโญ่ อดีตคนรู้ใจของทัพสิงห์รับตำแหน่งกุนซือพาผีมาเยือนที่นี่แพ้รวดทั้งสามเกมโดนไป 6 เม็ดและยิงไม่ได้เลย
      
         จากการออกสตาร์ทด้วยการครองบอลซึ่งเป็นจุดแข็งของทีมอยู่แล้ว ซึ่งผู้มาเยือนเองก็ไม่ได้บีบเกมสูงเท่าไรในช่วงแรกลงไปเน้นเกมรับแน่นในแดนตัวเองมากกว่า
         แต่นั่นก็ทำให้ เอแด็น อาซาร์ ยังทำเกมรุกไม่ถนัดนักเพราะทางฝั่งขวาของยูไนเต็ดนอกจาก แอชลี่ย์ ยัง ที่ยืนในตำแหน่งแบ็คแล้วก็ยังมี มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ตามลงมาซ้อนอีกชั้น ซึ่งทั้งคู่ถือว่ามีความเร็วพอที่จะเล่นงานสตาร์เบลเยี่ยมเหมือนกัน
         ทว่าการประสานงานของ มาเตโอ โควาซิช ที่ไหลทะลุช่องให้ เอแด็น อาซาร์ ฉีกหนี แอชลี่ย์ ยัง ก่อนเปิดเข้ากลางนำมาซึ่งลูกเตะมุม และลูกเตะมุมนี้เองก็นำมาซึ่งประตูขึ้นนำของทีม 
         วิลเลี่ยน รับหน้าที่เปิดบอลเข้ากลาง อันโตนิโอ รือดิเกอร์ วิ่งมาขึ้นโหม่งเต็มหัวบอลเสียบเสาอย่างเด็ดขาดในนาทีที่ 21 ถือเป็นประตูแรกของทีมในฤดูกาลนี้ที่พังตาข่ายได้จากลูกเตะมุมด้วย
         ดูเผินๆเหมือนเป็นการพังประตูธรรมดา แต่ต้องยอมรับว่าคู่เซนเตอร์ของ เชลซี ทั้ง ดาวิด ลุยซ์ และ รือดิเกอร์ สอดประสานกันอย่างรู้ใจ 
      
         ทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันโดยมีทาง วิคเตอร์ ลินเดอเลอฟ กับ ปอล ป็อกบา ที่ตามอยู่ แต่พอบอลเปิดออกจากเท้า วิลเลี่ยน คนที่วิ่งเข้าหาบอลก็คือ รือดิเกอร์ ในขณะที่ ลุยซ์ ยืนอยู่กับที่ ซึ่งจังหวะหนีตัวประกบที่สุดท้ายเผยออกมาว่าเป็น ป็อกบา ที่ตามมาต้องบอกว่าช้ากว่าพอสมควรเลย 
         ถือว่าลงตัวทั้งจังหวะเปิด จังหวะหนีตัวประกบ บอลมาอย่างเหมาะเจาะ โหม่งได้พอดี และเสียบเสาอย่างยอดเยี่ยม
         และเมื่อยิ่งได้ประตูขึ้นนำทีมก็ยิ่งครองบอลได้ง่ายกว่าเดิมไม่ต้องบุกเยอะอาศัยเล่นจังหวะเผลอของยูไนเต็ด ซึ่งเกือบจะได้ผลจังหวะเปิดบอลยาวของ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เข้าเขตโทษ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้หลุดกับดักล้ำหน้ามาแบบโล่ง แต่จังหวะกระโดดเกี่ยวบอลมันไม่ดียาวไปเข้ามือ ดาบิด เด เค อา อย่างน่าเสียดาย
         ซึ่งไม่ใช่ว่า เชลซี จะไม่มีโอกาสเสียประตู ทั้ง อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่มีความเร็วพร้อมเล่นงานเหมือนกัน เพราะแบ็คทั้งสองฝั่งของ "สิงห์บลูส์" เติมเกมรุกเยอะอยู่แล้วโดยเฉพาะทาง อลอนโซ่ เพียงแต่ขาดความแน่นอนไป
      
         สิ่งที่เห็นได้ชัดในเกมนี้ก็คือเมื่อต้องเจอกับคู่แข่งที่มีอาวุธพร้อมเล่นงานได้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ สั่งการให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ อยู่ช่วยตรงกลางมากกว่าจะเติมขึ้นไปข้างหน้า ส่วนการขึ้นเกมรุกก็ปล่อยให้เป็นจังหวะของเกมไป
         ยิ่งเกมเพรสซิ่งของ เชลซี ชัดเจนว่าเล่นงาน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนไปไม่เป็นเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อทีมมีโอกาสต่อบอลในแดนหลังจากการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้บีบเกมสูงก็ยิ่งทำให้เล่นง่ายยิ่งกว่าเดิม
         จังหวะเข้าทำเมื่อโดนสกัดออกมาบอลก็กลับมาอยู่ในการครอบครองของทีมอีกครั้งให้ได้ลองเปิดเกมบุกใหม่อีก ทำให้ครึ่งแรก เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ยังไม่ได้ออกแรงเซฟแม้แต่ครั้งเดียว เพราะแนวรุกของยูไนเต็ดก็ไม่ได้มีจังหวะสับไกแบบเนื้อๆเลย
         แต่ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวนำมาซึ่งการเสียประตูตีเสมอให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด
         จากออกสตาร์ทครึ่งหลังที่เกมรุกบุกเข้าใส่ แต่ระลอกเดียวที่ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกขึ้นมาทีมต้องมาสังเวยประตูแบบไม่น่าเสียจากจังหวะเข้าทำที่ มาร์กอส อลอนโซ่ ปะทะกับ โรเมลู ลูกากู ที่ลงไปกองกับพื้นแต่ผู้มาเยือนไม่สนใจสุดท้ายจังหวะเสียประตูที่ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ได้ยิงเข้าไปนั้นมันเกิดขึ้นตรงที่ อลอนโซ่ นอนอยู่ตรงนั้นพอดี
      
         ซึ่งตามจริงแล้วแบ็คชาวสเปนอาจจะไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่ด้วยการเป็นสัญชาตญาณของนักเตะสมัยนี้ไปแล้วที่นิดหน่อยต้องนอนไว้ก่อนทำให้ทีมต้องเสียประตู เพราะหาก อลอนโซ่ ฝืนลุกขึ้นมาทั่นใจได้เลยว่าลูกนี้ยังไงก็ไม่เสียประตูแน่
         จากเกมที่เหนือกว่ากลายเป็นเกมสูสี จากสูสีกลายเป็นรอง จากเป็นรองมาเสียประตูที่สองจังหวะสวนที่ ฆวน มาต้า หนี ดาวิด ลุยซ์ หลุดมาทางขวาก่อนจ่ายเข้ากลางให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ซึ่งทาง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า จำต้องหุบเข้ามาบีบพื้นที่กลายเป็นปล่อยให้ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ยืนอยู่คนเดียวรับบอลจาก แรชฟอร์ด แต่งหนึ่งทีแล้วยิงเข้าไป
         กลายเป็น เชลซี กลับมาตามหลัง และเกมบุกเห็นได้ชัดว่าเกมริมเส้นในเกมนี้ไม่อาจจะสร้างความอันตรายได้เหมือนที่ผ่านมา หรือเรียกได้ว่าตื้อไปเลย
         แม้สกอร์ตามหลังแต่เกมรุกก็ไม่ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับแนวรับของคู่แข่งได้ แม้แต่ เอแด็น อาซาร์ เองก็จนปัญญา 
      
         การโดนบีบเร็วเห็นได้ชัดเจนนักเตะ เชลซี ก็มีเป๋ให้เห็นเหมือนกัน จ่ายบอลสะเปะสะปะ เสียการครองบอลตลอดและจากการต่อบอลสั้นอันเป็นเอกลักษณ์เริ่มมีจังหวะวางบอลยาวให้เห็นบ่อยขึ้น
         โอเค มันเป็นทางลัดในการนำบอลขึ้นไปข้างหน้าอย่างเร็วที่สุด แต่มันเสียความเป็นตัวตนของตัวเองไป
        กระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้ายที่ตัวโจ๊กเกอร์อย่าง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ซ้ำจังหวะที่ ดาวิด ลุยซ์ โหม่งชนเสาต่อด้วย อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เอาหน้าอกชนบอลไปติดเซฟ ดาบิด เด เคอา แต่บอลไม่ไปไหนก่อนกองกลางทีมชาติอังกฤษซ้ำเข้าไปให้ทีมรอดพ้นความพ่ายแพ้มาได้อย่างหวุดหวิด
         ถึงกระนั้นเกมนี้ก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เคยบอกไปแล้วที่ผ่านมา เพียงแต่เกมนี้มันเผยออกมาอย่างชัดเจน
         การแก้เกมหรอ? ก็เห็นเล่นเหมือนเดิมนะ ต่อบอลไปเรื่อยๆ อาจจะเร่งจังหวะขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มีจังหวะที่เด็ดอะไร
         การเปลี่ยนตัวล่ะ? ก็อย่างที่บอกมาตลอด ว่ามันซ้ำๆ เดิมๆ ถ้า มาเตโอ โควาซิช เป็นตัวจริง คนที่ลงมาแทนก็คือ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ถ้า บาร์คลี่ย์ ลงเล่นก่อนก็สัลบกันแค่นั้น
      
         เช่นเดียวกันในกรณีของ เปโดร โรดริเกซ กับ วิลเลี่ยน รวมถึง อัลบาโร่ โมราต้า กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่สลับเปลี่ยนกันอยู่แค่นี้ จนคู่แข่งอ่านออกหมดแล้ว อยู่ที่จะจับอยู่รึเปล่า
         เกมรุกถ้า เอแด็น อาซาร์ เล่นไม่ออก ทั้งทีมก็จะกลายเป็นอัมพาตไปเลย ไม่มีตัวความหวังคนอื่น 
         ถึงตอนนี้ต้องรอดูช่วงตลาดซื้อ-ขายเดือนมกราคมว่าทีมจะมีการขยับยังไงบ้าง เพราะต้องยอมรับกันตรงๆว่าขนาดของทีมที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้
         แต่อย่างน้อยผลเสมอจากเกมนี้ก็ทำให้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ มองเห็นปัญหาของทีม และคงมีการลงมือในตลาดเพื่อแก้ไขอย่างตรงจุดสักที
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด