:::     :::

ประธานสายเชือด

วันพฤหัสบดีที่ 01 พฤศจิกายน 2561 คอลัมน์ ลูกหนังนอกกรอบ โดย JOKE
1,628
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประธานสโมสรสายเชือดหลังการเปลี่ยนเทรนเนอร์ถึง 12 คนตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งผู้นำของ เรอัล มาดริด

ย้อนกลับไปในช่วงที่ เฆซุส คิล ดำรงตำแหน่งประธานสโมสร แอตเลติโก มาดริด ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานจอมเชือดของวงการลูกหนังเมืองกระทิง ตลอด 25 ปีในตำแหน่งผู้นำสโมสรปรากฎว่าท่านประธานเปลี่ยนเทรนเนอร์ถึง 34 คน รวม 49 ครั้ง ขณะที่สโมสรอย่าง แมนฯยูไนเต็ด หรือ อาร์เซน่อล มีกุนซือเพียงคนคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ อาร์แซน เวนเกอร์ 

ท่านประธานคิลเคยสร้างสถิติที่ยากจะลอกเลียนแบบในช่วงฤดูกาล 1993-94 ด้วยการใช้เทรนเนอร์ในซีซั่นดังกล่าวถึง 6 คน เริ่มต้นด้วย ฮาอีร์ เปเรยร่า ก่อนเทรนเนอร์ชาวบราซิเลียนจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง จากนั้นม้านั่งข้างสนามของทีมตราหมีกลายสภาพเป็นเก้าอี้ดนตรีมีเทรนเนอร์สลับหน้าเข้ามาใช้งานอีก 5 คนหลังจากนั้นทั้ง กาโช่ เอเรเดีย, เอมิลิโอ กรูซ, โฆเซ่ หลุยส์ โรเมโร่, ซานโตส โอเบเฆโร่ และ ฆอร์เค่ ดาเลสซานโดร 

ช่วงซีซั่น 1988-89 และ 1992-93 ท่านประธานคิลยังเปลี่ยนเทรนเนอร์อีกฤดูกาลละ 5 คน ตลอด 25 ปีในตำแหน่งประธานสโมสรมีเทรนเนอร์เพียง 3 คนเท่านั้นที่สามารถคุมทีมตราหมีจนกระทั่งจบซีซั่นนั่นคือ หลุยส์ อาราโกเนส, ราโดเมียร์ อันทิช กับ ฮาเวียร์ อากีร์เร่ 


นั่นคือสโมสรที่'อยู่ยาก'สำหรับเทรนเนอร์หลายๆคนในอดีต ผ่านมาจนถึงปัจจุบันสถานการณ์แปรเปลี่ยนมาอยู่กับสโมสรคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด ซึ่ง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ อาจไม่โหดเหี้ยมเท่า เฆซุส คิล แต่ประธานทีมชุดขาวขึ้นชื่อว่าเป็น'จอมเชือด'คนใหม่ของวงการเช่นเดียวกัน

ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานสโมสร เรอัล มาดริด ในช่วงแรกระหว่างปี 2000-2006 และนับจากปี 2009 จนถึงปัจจุบัน ท่านประธานฟลอเรนติโน่ใช้เทรนเนอร์ไปแล้ว 12 คน 

เปเรซ ชนะการเลือกตั้งขึ้นมาเป็นประธานสโมสรรอบแรกในช่วงซัมเมอร์ปี 2000 หลังจาก บีเซนเต้ เดล บอสเก้ ขยับขึ้นมาเป็นเทรนเนอร์คุมทีมชั่วคราวหลังสโมสรปลด จอห์น โตแช็ค ออกจากตำแหน่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 1999 แต่'ลุงหนวด'นำทีมชุดขาวสอยแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกหลังการยิงสลุต บาเลนเซีย 3-0 จึงได้รับการตอบแทนจากเปเรซด้วยการคุมทีมระยะยาว 


เดล บอสเก้ นำ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลีกา 2 ครั้ง (2000-01, 2002-03), ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก อีกสมัย (2001-02) รวมถึงแชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัล (แชมป์สโมสรโลก), ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ และ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ 

ทว่าด้วยเหตุผลที่ท่านประธานฟลอเรนติโน่ต้องการความแปลกใหม่จึงไม่ต่อสัญญากับ เดล บอสเก้ หลังจบซีซั่น 2002-03 หลังทำผลงานรวมชนะ 127 จากการคุมทีมลงเล่น 233 นัด คิดเป็น 55% 


คาร์ลอส เคยรอซ ถูกดึงมาจากการเป็นมือขวาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังท่านประธานฟลอเรนติโน่มองว่าเป็น'คนที่ใช่'สำหรับ เรอัล มาดริด เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสจะเข้ามาทำให้ทีมชุดขาวเล่นอย่างมีสีสัน, เร้าใจและประสบความสำเร็จในเวลาเดียวกัน ทว่า เคยรอซ ถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2004 หลังคุมทีมชนะ 34 จาก 59 นัด คิดเป็น 58% 

โฆเซ่ อันโตนิโอ กามาโช่ เข้ามารับงานต่อจาก เคยรอซ แต่เขาอยู่กับสโมสรเพียง 22 วันก่อนตัดสินใจยกเลิกสัญญาเพื่อย้ายไปรับตำแหน่งเทรนเนอร์ทีมชาติสเปน 


การอำลาทีมแบบกระทันหันของ กามาโช่ ทำให้ส้มหล่นใส่ตักผู้ช่วยอย่าง มาเรียโน่ การ์เซีย เรม่อน แต่ก็ไปได้ไม่กี่น้ำถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงคริสต์มาสปีเดียวกันหลังทำสถิติชนะ 8 จาก 12 เกม คิดเป็น 60% 

ท่านประธานฟลอเรนติโน่ดึง วันแดร์เล่ ลุกชอมบูร์โก้ เข้ามารับช่วงต่อ ซึ่งเทรนเนอร์ชาวบราซิเลียนนำทีมชุดขาวคว้าชัยชนะ 7 เกมติดต่อกันจนช่วยให้ทีมกลับมามีลุ้นแย่งแชมป์ลีกาอีกครั้ง ทว่าท้ายที่สุด บาร์เซโลน่า ยังทะยานเข้าป้ายโดยทิ้งห่างทีมคู่ปรับสำคัญอย่างมาดริด 4 แต้ม 


จากผลงานดังกล่าวทำให้ ลุกชอมบูร์โก้ ได้โอกาสเดินหน้าต่อในซีซั่น 2005-06 แต่ทีมชุดขาวกลับทำผลงานแย่โดยเฉพาะการพลาดท่าปราชัยต่อ บาร์เซโลน่า 0-3 คารัง'ซานติอาโก้ เบร์นาเบว'ทำให้เทรนเนอร์ชาวบราซิเลียนถูกปลดประจำการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2005 หลังคุมทีมชนะ 28 จาก 45 เกม คิดเป็น 62% 


ฆวน ราม่อน โลเปซ กาโร่ ในฐานะเทรนเนอร์ทีมเยาวชนของสโมสรถูกดันขึ้นมาคุมทีมชั่วคราว แต่ก็ทำหน้าที่ไปจนกระทั่งจบซีซั่นเท่านั้นหลังคุมทีมชนะ 12 จาก 24 เกมคิดเป็น 50%

จากผลงานย่ำแย่ของสโมสรทำให้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2006 โดยมี ราม่อน กัลเดรอน ก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ประธานสโมสรต่อจากนั้นหลังชนะการเลือกตั้งในช่วงซัมเมอร์ ก่อน ฟลอเรนติโน่ จะกลับมาทวงเก้าอี้คืนในปี 2009


ท่านประธานฟลอเรนติโน่เริ่มโปรเจ็กใหม่กับ มานูเอล หลุยส์ เปเยกรีนี เทรนเนอร์ชาวชิเลโน่ซึ่งทำผลงานโดดเด่นกับ บียาร์เรอัล ก่อนหน้านั้น ซึ่งเปเยกรีนีนำทีมชุดขาวเก็บ 96 แต้มเป็นสถิติสูงสุดของสโมสร แต่ยังเป็นเพียงพระรองหลังทีมอาซูลกราน่าของ'เป๊ป'กวาร์ดิโอล่า สอย 99 แต้ม ก่อนเทรนเนอร์ชาวชิเลโน่จะถูกเขี่ยออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ โชเซ่ มูรินโญ่ หลังคุมทีมชนะ 36 จาก 48 เกม คิดเป็น 75%

มูรินโญ่ เพิ่งคว้า'ทริปเปิ้ลแชมป์'กับ อินเตอร์ มิลาน ทำให้สาวกมาดริดิสต้าเต็มไปด้วยความหวังว่าเทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสจะนำทีมชุดขาวโค่นบัลลังก์แชมป์ของทีมอาซูลกราน่าสำเร็จ


โชเซ่ มูรินโญ่ เซ็นสัญญา 4 ปีแต่อยู่ทำทีมได้เพียง 3 ซีซั่น คุมทีมชนะ 128 จาก 178 เกม คิดเป็น 72% ประสบความสำเร็จเพียง 3 รายการนั่นคือการคว้าแชมป์ลีกา (2011-12), โกปา เดล เรย์ (2010-11) และ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ (2012)

ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประกาศว่า มูรินโญ่ จะอำลาสโมสรหลังจบฤดูกาล 2012-13 ทั้งที่เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสเพิ่งขยายสัญญาไปจนถึงปี 2016 ก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งปี ส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งกับนักเตะ รวมถึงตัวประธานสโมสรด้วย 


เรอัล มาดริด เริ่มต้นใหม่กับ คาร์โล อันเชล็อตติ หลังแยกทางกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนเทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนจะนำทีมชุดขาวคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกที่รอคอยมานานกว่า 12 ปีสำเร็จ 

'อันเช่'ยังนำทีมชุดขาวคว้าแชมป์อีก 3 รายการอย่าง ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ, ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ และ โกปา เดล เรย์ แต่ยังไม่เพียงพอให้เขาเดินหน้าต่อ เขาอำลาสโมสรหลังจบซีซั่น 2014-15 หลังคุมทีมชนะ 89 จาก 119 เกม คิดเป็น 75%


ราฟาเอล เบนีเตซ เข้ามารับงานต่อจาก อันเชล็อตติ แต่'เอล ราฟา'คุมทีมเพียง 25 เกม ทำสถิติชนะ 17 ครั้ง คิดเป็น 68% ก่อนก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2016 นำมาซึ่งการสร้าง'ปรากฎการณ์'ของ ซีเนดีน ซีดาน หลังจากนั้น 

ซีดาน สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำทีมชุดขาวคว้าแชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน, แชมป์ลีกา 1 สมัย (2016-17), แชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 2 ครั้ง (2016, 2017), แชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2 ครั้ง (2016, 2017) และ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ 1 ครั้ง (2017) เขาคุมทีมชนะ 105 จาก 149 เกม คิดเป็น 70% 


แต่เทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศสตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาจากความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกับท่านประธานฟลอเรนติโน่โดยเฉพาะนโยบายการทำทีม 

จากนั้น ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ตัดสินใจชิงตัว จูเลน โลเปเตกี มาจากเก้าอี้เทรนเนอร์ทีมชาติสเปน แต่เทรนเนอร์ชาวบาสโก้คุมทีมชนะเพียง 6 จาก 14 เกม คิดเป็น 42% ก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา 


ท่านประธานฟลอเรนติโน่ดัน ซานติอาโก้ โซลารี่ จากเทรนเนอร์ เรอัล มาดริด กาสตีย่า ขึ้นมาคุมทีมชั่วคราวแทน โลเปเตกี ซึ่งเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ประเดิมการคุมทีมนัดแรกด้วยการบุกขย่ม เมลีย่า 4-0 ในศึก โกปา เดล เรย์ รอบ 32 ทีม นัดแรกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 


จากประวัติในฐานะประธานสโมสรของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ จึงเป็นอีกหนึ่งผู้นำที่ทำงานด้วยไม่ง่ายสำหรับเทรนเนอร์หลายๆคน แต่ถึงอย่างไรเก้าอี้เทรนเนอร์ของมาดริดยังเป็นตำแหน่งที่ดึงดูดความสนใจของเทรนเนอร์หลายคนที่ต้องการเข้ามาพิสูจน์ฝีมือตนเองเพียงแต่'ใคร'จะเสนอตัวเข้ามาเป็น'เหยื่อ'รายต่อไปของท่านประธานฟลอเรนติโน่เท่านั้น 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด