:::     :::

'แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้' ที่แสนเร้าใจ

วันศุกร์ที่ 09 พฤศจิกายน 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
3,555
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
คุณอยู่ฝั่งไหนระหว่างสีแดงกับสีฟ้า?
        คำถามที่ถูกถามขึ้นยามที่เมืองแมนเชสเตอร์มีศึกผ่าเมืองเกิดขึ้นระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่ประจำอังกฤษ
         แต่ไหนแต่ไรแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักไม่เห็นคู่ปรับร่วมเมืองผู้ในสายตาย โดยเฉพาะหลังจากที่ลีกสูงสุดอังกฤษถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก "ปีศาจแเดง" ก็พุ่งชนความสำเร็จอย่างมหาศาลภายใต้การนำของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
         ในส่วนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นยังต้องดิ้นรนกับการอยู่รอดในลีกสูงสุดแถมยังมีช่วงที่ตกลงไปไกลถึงลีก วันมาแล้วด้วย
         กระทั่งในปี 2002/03 ก็กลับขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งและประคองตัวอยู่รอดได้อย่างต่อเนื่อง
         และทันทีที่เม็ดเงินของกลุ่มทุน อาบู ดาบี ที่เทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเปลี่ยนให้ทีมลูกไล่กลายเป็นหมาอำนาจที่พร้อมจ่ายไม่อั้นเพื่อดึงยอดแข้งมาเสริมในการทำให้ทีมก้าวขึ้นมาเป็นทีมแถวหน้าของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
         ในที่สุด "เรือใบ" ก็ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จในปี 2011/12 และพวกเขาไม่เคยหลุดจากตำแหน่งท็อปโฟร์ของตารางนับตั้งแต่ปี 2010/11
         สวนทางกับ "ปีศาจแดง" ที่นับตั้งแต่ "ป๋า" วางมือก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกแล้ว อันดับที่ดีที่สุดก็คือรองแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ก็โดนคู่ปรับที่ได้แชมป์ไปครองทิ้งห่างกระจุย 19 คะแนน
         ซึ่งมาถึงวันนี้สาวก "เร้ด อาร์มี่" คงต้องยอมรับแล้วว่าทีมรักยังห่างชั้นกับทางฝั่งสีฟ้าอยู่พอสมควรในปีนี้และยังไม่รู้ด้วยว่าจะไล่ทันตอนนี้
         วันอาทิตย์นี้ ศึกผ่าเมืองยกแรกของฤดูกาลทั้งสองทีมจะพบกันที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นการพบกันหนที่ 177 ซึ่ง ยูไนเต็ด ยังมีสถิติที่เหนือกว่าด้วยการชนะ 73 เสมอ 52 และทางซิตี้ชนะ 51
         แฟนบอลต่างหวังเห็นเกมที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจในสไตล์ "ดาร์บี้ แม็ตช์" 
         ลองไปย้อนรำลึกศึก "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนศึกในสัปดาห์นี้จะมาถึง
5 : วันที่ 21 เมษายน 2001
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

         ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ลูกหนังอันโด่งดังที่แฟนบอลหลายคนจำได้เป็นอย่างดีแน่นอน
         ต้นกำเนิดของเรื่องราวครั้งนี้เกิดขึ้นในปี 1997 ในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด, รอย คีน ที่กำลังสปีดเข้าหาบอลปะทะกับ อัลฟ์ อิงเก้ ฮาแลนด์ ในเขตโทษจนลงไปกองกับพื้นซึ่งกองหลังชาวนอร์เวย์ตะโกนใส่ คีน ที่นอนเจ็บลุกไม่ขึ้นว่าพุ่งล้มเพื่อเอาจุดโทษแต่ท้ายที่สุดแล้ว กัปตันทีมผีแดงเจ็บเอ็นหัวเข่าและพักรักษาตัวยาวทั้งซีซั่น
         เหตุการณ์ผ่านไปสี่ปีจนถึงปี 2001 ฮาแลนด์ ย้ายมาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และโคจรมาเจอกับ รอย คีน อีกครั้งที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด แน่นอนว่าความแค้นในครั้งนั้นยังฝังอยู่ในหัวของกองกลางชาวไอร์แลนด์
         โอกาสเหมาะมาถึง คีน ไม่รีรอที่จะพุ่งเข้ายันเต็มๆไปที่เขาของ ฮาแลนด์ ร่วงลงไปนอน เดวิด เอลเลเรย์ ควักใบแดงไล่ คีน ออกจากสนามทันทีซึ่งเจ้าตัวเองก็เหมือนจะรู้อยู่แล้วและเตรียมที่จะถอดปลอกแขนกัปตัน
         แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น คีน ถูกแบน 5 นัด และปรับเงิน 150,000 ปอนด์ ซึ่งดูจะเบาเกินไปหน่อยเมื่อเทียบกับความตั้งใจเล่นงานเพื่อนร่วมอาชีพ
         สำหรับผลการแข่งขันที่จบลงด้วยการเสมอนั้น บอกได้เลยว่ากลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสนใจไปเลย ซึ่งทางฝั่งผีแดงขึ้นนำก่อนจาก เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม ส่วน ซิตี้ได้ประตูตีเสมอจาก สตีฟ โฮเวย์
                
4 : วันที่ 12 เมษายน 2015
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
        
         หลังจากความพ่ายแพ้ 4 เกมเกมติดต่อกันให้กับคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ทำให้สาวกผีแดงเริ่มทำใจกับความเคยชินที่โดนแฟนบอลคู่แข่งเยาะเย้ย ถากถาง
         แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็รอวันที่จะเอาคืนอยู่ เพียงแต่นั่นคงต้องพึ่งพาฟอร์มการของทีมรักเป็นสำคัญ และ หลุยส์ ฟาน กัล ก็คือคนที่ทำให้บรรดาสาวก "เร้ด อาร์มี่" ได้เฮกันในที่สุดหลังจากที่รอคอยมาร่วมสองปี
         การจัดทีมในทีแรกเหมือนกับว่า "ปีศาจแดง" คงเน้นเกมรับมากกว่าจากรายชื่อนักเตะที่ลงสนามไร้ซึ่ง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่มีอาการบาดเจ็บ มี เวย์น รูนี่ย์ เป็นกองหน้าตัวเป้า ฆวน มาต้า กับ แอชลี่ย์ ยัง ทำเกมริมเส้น แดนกลางมี มารูยาน เฟลไลนี่, ไมเคิ่ล คาร์ริค และ อันเดร์ เอร์เรร่า เป็นสามประสาน ส่วนแนวรับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย, คริส สมอลลิ่ง, ฟิล โจนส์ และ ดาเลย์ บลินด์ ทำหน้าที่ ผู้รักษาประตูคือ ดาบิด เด เคอา
         ส่วนทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ นำโดย เซร์คิโอ อเกวโร่, ดาบิด ซิลบา, เฆซุส นาบาส, ยาย่า ตูเร่, เจมส์ มิลเนอร์, แฟร์นานดินโญ่, ปาโบล ซาบาเลต้า, มาร์ติน เดมิเคลิส, แว็งซ็องต์ ก็อมปานี, กาแอล กลิชี่ และ โจ ฮาร์ท
         เริ่มเกมไม่เท่าไรทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าอีหรอบเดิมเมื่อ เซร์คิโอ อเกวโร่ เบิกร่องให้ทีมสีฟ้าบุกมาออกนำตั้งแต่นาทีที่ 8 แต่หลังจากนั้นกลับเป็นพลพรรคสีแดงที่เดินหน้าลุยก่อนที่ แอชลี่ย์ ยัง มาตีเสมอให้ทีมตามด้วยลูกโหม่งจ่อๆให้ทีมเจ้าถิ่นแซงนำ 2-1 เมื่อจบครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังจะมาสอยอีกสองลูกจาก ฆวน มาต้า และ คริส สมอลลิ่ง โดยที อเกวโร่ มายิงช่วงท้ายให้ซิตี้ไล่มาห่างๆ
         จบเกมกับชัยชนะ 4-2 ให้แฟนผีได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่หลังโดนกดขี่มาร่วมสองปี
                
3 : วันที่ 22 กันยายน 2013
สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
                
         หลังการวางมือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้หนแรกทางฝั่งสีแดงก็โดนถล่มอย่างยับเยิน
         ผู้ที่รับไม้ต้องอย่าง เดวิด มอยส์ เผชิญหน้ากับ "ดาร์บี้" หนแรกด้วยการโดน มานูเอล เปเยกรินี่ สอนเชิงชนิดที่หมอไม่รับเย็บ สร้างความไม่พอใจกับ "เร้ด อาร์มี่" เป็นอย่างมาก ทั้งที่ผู้เล่นกันยกชุดเดิมของ "ป๋า" มาทั้งหมด
         เซร์คิโอ อเกวโร่ เบิกร่องให้เจ้าบ้านออกนำตั้งแต่นาทีที่ 16 แต่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ เกมครึ่งแรกที่กำลังจะจบแต่ ยูไนเต็ด กลับมาสังเวยประตูที่สองให้กับ ยาย่า ตูเร่ ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก ทำให้เกมยากยิ่งกว่าเดิม
         "เรือใบ" มากระทืบความหวังในการกลับสู่เกมด้วยการสอยอีกสองประตูรวดในช่วง 5 นาทีแรกของครึ่งหลังให้ ซิตี้ ทิ้งห่าง 4-0 ส่งให้แฟนผีแดงบางคนถึงขนาดทนไม่ได้เดินออกจากสนามในทันที
         ประตูช่วงท้ายเกมของ เวย์น รูนี่ย์ ก็คือปลอบใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ซึ่งตลอดทั้งเกม มอยส์ แก้เกมหนเดียวคือการเปลี่ยน แอลชี่ย์ ยัง ลงเล่นแทน ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ หลังเสียประตูที่สี่ หลังจากนั้นก็ทำได้แค่ยืนรอให้หมดเวลา
         จบฤดูกาล 2013/14 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครอง ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ห่วยแตกด้วยการจบอันดับ 7 แย่ที่สุดนับตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
                
2 : วันที่ 20 กันยายน 2009
สนาม : โอล แทรฟฟอร์ด
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-3 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

         หนึ่งในดาร์บี้แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ที่มีความ "ดราม่า" มากที่สุด เท่าที่ทั้งสองทีมนี้เคยฟาดแข้งกันมาเลย
         และมันคือดาร์บี้แม็ตช์ ที่มีความเร้าใจและตื่นเต้นมากที่สุดสำหรับแฟนบอลทั้งสองฝั่งไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ
         แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่นำทัพโดย เวย์น รูนี่ย์, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ปะทะกับ แมนเชสเตรอ์ ซิตี้ ที่มี ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, เคร็ก เบลลามี่ และ คาร์เตเวซ โดยเฉพาะในรายหลังที่กระเหี้ยนกระหือเหลือเกิน
         เกมมันส์ตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อ เวย์น รูนี่ย์ เบิกประตูให้ทีมนำตั้งแต่นาทีที่ 2 ก่อนที่ แกเร็ธ แบร์รี่ จะมาตีเสมอในนาทีที่ 16 จบลงด้วยผล 1-1 ในครึ่งแรก
         เปิดครึ่งหลังไม่ถึงห้านาที ดาร์เร็น เฟล็ทเชอร์ พังประตูให้เจ้าบ้านนำอีกครั้ง แต่ก็ยังโดน เคร็ก เบลลามี่ ตีเสมอหลังโดนนำแค่สามนาที นามาถึง 10 นาทีสุดท้าย เฟล็ทเชอร์ คนเดิมก็ทำให้ "ผีแดง" ขึ้นนำ ทว่าในนาทีสุดท้ายของเกม เบลลามี่ จากความผิดพลาดของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่พยายามจะยกบอลแต่ไม่พ้น มาร์ติน เปตรอฟ ที่จ่ายให้กองหน้าเวลส์หลุดไปยิงมุมแคบเข้าไป
         แต่เกมที่ทำท่าว่าจะจบลงที่ผลเสมอในช่วงทดเวลา 6 นาที ในช่วงสุดท้าย (ซึ่งเลยมาแล้ว) ไรอัน กิ๊กส์ จ่ายทะลุช่องให้ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ลงมาเป็นสำรองยืนคนเดียวในเขตโทษด้านซ้ายยิงเข้าไปให้ ยูไนเต็ด เอาชนะไปได้สะใจ 4-3
         ผลการแข่งขันในเกมนี้ยังลามไปถึง ลิเวอร์พูล ที่แฟนผีพากันล้อเลียนอย่างสนุกปากทั้งเรื่องที่ ไมเคิ่ล โอเว่น ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ "หงส์แดง" ไม่เคยได้ รวมถึง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ด้วย
                
1 : วันที่ 23 ตุลาคม 2011 
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-6 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

         ผลการแข่งขันแห่งความอัปยศของพลพรรคสีแดง แต่ตรงข้ามกับฝั่งที่ฟ้าที่ได้เฮกันอย่างสุดเสียง
         และนี่ถือเป็นเกมที่ย่อยยับที่สุดของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นัดหนึ่งตลอดระยะเวลา 26 ปีที่นั่งเก้าอี้นายใหญ่ของทีพปีศาจแดงเลยก็ว่าได้
         แถมมันยังเป็นการแพ้คาบ้านให้กับคู่ปรับร่วมเมืองอีกด้วย แถมมันยังเป็นเกมที่แข่งก่อนหน้าวันเกิดของ เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงฝั่งสีแดงแค่วันเดียว
         ตลอดทั้งเกมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ครองบอลบุกอย่างบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยมาก่อน และไม่มีใครคิดว่าสกอร์ที่นำ 1-0 ในครึ่งแรกของฝั่งเรือใบจาก มาริโอ บาโลเตลลี่ พร้อมกับถกเสื้อโชว์ข้อความ "WHY ALWAYS ME?" จะลุกลามกลายเป็นการไล่ถล่มอย่างเลือดเย็น
         เหตุการณ์พลิกผันในช่วงต้นครึ่งหลังที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องมาเหลือ 10 คนเมื่อทาง จอนนี่ อีแวนส์ โดนไล่ออกจากการไปดึง มาริโอ บาโลเตลลี่ แต่ด้วยความเป็นเจ้าบ้านและตามหลังทำให้ทีมยังต้องบุกก่อนจะมาโดนสอยอีกสองเม็ดจาก บาโลเตลลี่ ที่ซัดลูกที่สองของตัวเอง และ เซร์คิโอ อเกวโร่ ก่อนที่ ดาร์เร็น เฟล็ทเชอร์ จะมาตีไข่แตกให้ทีมไล่เป็น 1-3
         แต่ "ผีแดง" กลับมาโดนสอยตาข่ายอีกสามลูกรวดในช่วงเวลาแค่สามนาทีจาก เอดิน เชโก้ ตัวสำรองที่ลงมาสองลูกและ ดาบิด ซิลบา
         ถือเป็นการแพ้ในบ้านที่เละที่สุดของ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ปี 1995 และความคลาสสิคในปีนนี้ก็คือ แมนฯ ซิตี้ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองด้วยการมีแต้มเท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ประตูได้บวกมากกว่า 8 ประตู 
                


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด