:::     :::

จุดเปลี่ยนของมาดริด!?!?

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 คอลัมน์ ลูกหนังนอกกรอบ โดย JOKE
1,848
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เรอัล มาดริด มีการเปลี่ยนเทรนเนอร์ระหว่างซีซั่นก่อนหน้านี้ 16 ครั้ง ผลปรากฎว่าสโมสรสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าแชมป์ในบั้นปลายถึงครึ่งหนึ่งหรือ 8 ครั้ง

ทุกการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ภายใต้ความคาดหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้การันตีว่าจะทำให้ดีขึ้นเสมอไป หลายครั้งอาจจะดีแต่บางครั้งก็อาจจะแย่กว่าเดิมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งที่ควบคุมได้และไม่ได้ 

ในที่นี้จะกล่าวถึงการเปลี่ยนเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด จาก จูเลน โลเปเตกี มาเป็น ซานติอาโก้ โซลารี่ ซึ่งเห็นผลของการเปลี่้ยนแปลงชัดเจนว่ามันดีขึ้น หลังเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์นำทีมชุดขาวเล่นอย่างมีสไตล์และคว้าชัยชนะ 4 เกมรวดแตกต่างจากช่วงที่เทรนเนอร์ชาวบาสโก้กุมบังเหียนจนได้รับสัญญาระยะยาว

เรอัล มาดริด มอบสัญญาระยะยาวให้ โซลารี่ ทำงานในฐานะเทรนเนอร์ทีมชุดใหญ่จนถึงปี 2021 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมีแถลงการณ์สั้นๆแต่ได้ใจความสำคัญว่า'บอร์ดบริหารของ เรอัล มาดริด ประชุมกันในวันนี้ 13 พฤศจิกายน 2018 ก่อนตกลงแต่งตั้ง ซานติอาโก้ โซลารี่ เป็นโค้ชทีมชุดแรกจนไปกระทั่งถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2021' 

ขณะที่โซลารี่กล่าวถึงโอกาสครั้งสำคัญในอาชีพเทรนเนอร์ของเขาว่า'ผมจะมองด้านบวกและทำทุกอย่างเท่าที่ผมสามารถทำได้ มันเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่'


'ในชีวิตและในอาชีพนี้ เรามีโอกาสแบบนี้ผ่านเข้ามาเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก สิ่งสำคัญคือการทำงานแบบวันต่อวัน'เทรนเนอร์วัย 42 ปีกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตและหน้าที่การงานของเขาในระยะเวลาราว 2 สัปดาห์ 

หลายคนอาจมองว่าการก้าวขึ้นมาของ โซลารี่ มีโอกาสเดินตามรอย ซีเนดีน ซีดาน ที่เลื่อนชั้นจากเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด กาสตีย่า ขึ้นสู่ตำแหน่งเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด แทนที่ ราฟาเอล เบนีเตซ ในช่วงเดือนมกราคมปี 2016 ก่อนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับทีมชุดขาวโดยเฉพาะการนำทัพ'โลส บลังโกส'คว้าแชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน 

แต่ก็มีบางส่วนที่มองทิศทางตรงข้ามและหนึ่งในนั้นคือ สตีฟ นิโคล อดีตแข้งลิเวอร์พูลซึ่งรับบทบาทเป็นกูรูลูกหนังของสื่อยักษ์ใหญ่อย่างอีเอสพีเอ็นในปัจจุบันที่ระบุว่าเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์จะอยู่ทำงานไม่ถึงฤดูกาลหน้าเพราะเป้าหมายที่แท้จริงของทีมชุดขาวคือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือคนเก่งของสเปอร์สนั่นเอง  

'คุณจะสามารถเอาเศษเล็กเศษน้อยมารวมกันจากการคว้าแชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัยได้หรือไม่? มันไม่มีทางเกิดขึ้น" นิโคล กล่าวถึงผลงานของ ซีดาน 'ซานติ ต้องไล่ล่า บาร์เซโลน่า ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง รวมถึงทะลุเข้ารอบต่อๆไปในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก'

'ผมคิดว่าโอกาสมีน้อยมาก, เขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับตอนที่ ซีดาน ก้าวขึ้นมา ซีดาน เข้ารับมางาน, ในความเห็นผม, จนกว่าพวกเขาจะคิดออกว่าจะหาใครเข้ามาทำหน้าที่แทนจริงๆ'

'ซีดาน ทำได้ยอดเยี่ยมและคว้าแชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัย, ซานติ จะทำได้รึเปล่า? ผมไม่คิดแบบนั้น จนกว่าจะมีสิ่งที่มหัศจรรย์เกิดขึ้น ซานติ คงจะอยู่กับทีมจนจบฤดูกาลเท่านั้น ส่วนเรื่องสัญญาจนถึงปี 2021 มันก็เป็นกระดาษที่ดีใบนึงเท่านั้น'

ทว่ามันอาจจะเป็นครั้งเดียวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โซลารี่ จึงไม่เกี่ยงที่จะคว้าโอกาสตรงหน้าไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น, กลางหรือระยะยาว


ขณะที่ เรอัล มาดริด อาจจะหวังว่าจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ ซีดาน ซึ่งสร้างปรากฎการณ์ในฐานะเทรนเนอร์ทีมชุดขาว อีกทั้งทัพ'โลส บลังโกส'ยังมีลุ้นความสำเร็จทั้งสามรายการ โดยมีคะแนนตามหลังจ่าฝูง บาร์เซโลน่า เพียง 4 แต้ม จ่อที่จะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของแชมเปี้ยนส์ลีกและรอการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมอย่างเป็นทางการบนเวที โกปา เดล เรย์ 

เรอัล มาดริด ยังทำสัญญาแบบไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อยเช่นเดียวกับที่เคยทำกับ โลเปเตกี ก่อนหน้านี้ แม้อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติสเปนจะเซ็นสัญญา 3 ปีมูลค่า 18 ล้านยูโร แต่เทรนเนอร์ชาวบาสโก้ทำงานไม่ผ่านช่วงโปร 6 เดือนแรก สโมสรจึงจ่ายค่าชดเชยปลอบใจเพียง 3 ล้านยูโร

แม้สัญญาของ โซลารี่ จะมีจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2021 ก็ตาม แต่ถ้าหากเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ทำงานไม่ผ่านช่วงโปรจนถึงเดือนมิถุนายนศกหน้าและมีการปลดออกจากตำแหน่งระหว่างนั้น สโมสรจะจ่ายเงินชดเชยให้เพียง 3 ล้านยูโรเท่านั้น  

นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับทีมชุดขาวในการเปลี่ยนเทรนเนอร์ระหว่างฤดูกาล ผลจากการเปลี่ยนแปลงในอดีตมีส่วนทำให้สโมสรกลับมาประสบความสำเร็จแบบครึ่งต่อครึ่ง 

สถิติการเปลี่ยนแปลงเทรนเนอร์ระหว่างซีซั่นของ เรอัล มาดริด 16 ครั้งก่อนหน้านี้ ปรากฎว่าทีมชุดขาวกลับมาประสบความสำเร็จในบั้นปลายถึง 8 ครั้ง อีกครึ่งหนึ่งลงเอยด้วยความล้มเหลว ซึ่งเราจะนำเสนอในช่วงฤดูกาลที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญของทัพ'โลส บลังโกส' 


ฤดูกาล 1942-1943

เรอัล มาดริด เปลี่ยนเทรนเนอร์กลางทางในซีซั่น 1942-43 หลัง ฆวน อาร์เมต ถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยสโมสรแต่งตั้ง ราม่อน เอนซีนาส คุมทีมแทนและเกือบจะนำทัพ'โลส บลังโกส'ปิดฉากฤดูกาลนั้นด้วยการคว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ แต่ทีมชุดขาวพลิกพ่าย แอธเลติก บิลเบา 0-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมชิงชนะเลิศ


ฤดูกาล 1950-1951

มันเป็นซีซั่นแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร เรอัล มาดริด ที่ใช้เทรนเนอร์ถึง 3 คนในซีซั่นเดียว ทั้ง มิชาเอล คีปิ้ง, บัลตาซาร์ อัลเบนีซ และ เอคตอร์ สกาโรเน่ แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยให้สโมสรประสบความสำเร็จทั้งรายการลีกาหรือ โกปา เดล เรย์ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงกลางซีซั่นของทีมชุดขาวจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อสโมสรแม้แต่น้อย


ฤดูกาล 1959-1960

หลุยส์ การ์นีเกลีย เจ็บป่วยจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ก่อนที่ทีมชุดขาวจะดัน มิเกล มูนญอซ จากเทรนเนอร์ทีมเยาวชนขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ชั่วคราว ก่อนที่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของทัพ'โลส บลังโกส'ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน  คัพ 5 สมัยติดต่อกัน


ฤดูกาล 1973-1974

กลายเป็นจุดจบของอาชีพของ มิเกล มูนญอซ หลังคุมทีมชุดขาวมานานถึง 16 ฤดูกาลก่อน หลุยส์ มาโลว์นี่ จะก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้เทรนเนอร์ทีมชุดขาว ก่อนจะนำทัพ'โลส บลังโกส'คว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ จากการเอาชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 ในนัดชิงชนะเลิศ


ฤดูกาล 1977-1978

มิลยาน มิลยานิช คุม เรอัล มาดริด เพียงเกมเดียวในซีซั่น 1977-78 หลังเทรนเนอร์ชาวเซิร์บคุมทีมมา 3 ฤดูกาล ทว่าการพลิกพ่าย ซาลามังก้า ทำให้เขาต้องจ่ายด้วยการเสียตำแหน่งเทรนเนอร์ ก่อนที่ หลุยส์ มาโลว์นี่ จะถูกดึงกลับมานั่งเก้าอี้เทรนเนอร์ทีมชุดขาวอีกครั้งก่อนนำทัพ'โลส บลังโกส'คว้าแชมป์ลีกาสมัยที่ 18


ฤดูกาล 1981-1982

เรอัล มาดริด พ่าย ไกเซอร์สเลาเทิร์น 0-5 ซึ่งเป็นการปราชัยเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์บนเวทียุโรปของสโมสรจนมีส่วนทำให้ วูยาดิน บอสคอฟ ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังจากนั้นอีก 2 นัดและมาโลว์นี่ถูกเรียกใช้บริการอีกครั้งและเพียงการคุมทีมชุดขาวลงสนาม 3 นัด มาโลว์นี่ นำสโมสรคว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ หลังการเอาชนะ สปอร์ติ้ง คิฆอน 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ


ฤดูกาล 1984-1985

เกมสุดท้ายในลีกาของ อามานซีโอ อามาโร่ ซึ่งทำให้เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งอย่างน่าประหลาดใจโดยสโมสรเรียก มาโลว์นี่ กลับมาคุมทีมเป็นซีซั่นที่ 10 ก่อนจะนำทีมชุดขาวคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ หลังการเอาชะน วิดีโอตอน ของ ฮังการี ด้วยสกอร์รวม 3-1 หลังบุกกระทุ้งทีมดังเมืองแม็กย่าร์ 3-0 ตั้งแต่รอบชิงชนะเลิศนัดแรก


ฤดูกาล 1990-1991

เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ทีมชุดขาวใช้เทรนเนอร์ถึง 3 คนไล่จาก จอห์น โตแช็ค, อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ และ ราโดเมียร์ อันทิช โดย ดิ สเตฟาโน่ เข้ามารับตำแหน่งเทรนเนอร์ชั่วคราวและนำทีมถล่ม บาร์เซโลน่า 4-1 ในศึก ซูเปร์โกปา ที่'ซานติอาโก้ เบร์นาเบว' ก่อนสโมสรจะดึง อันทิช เข้ามานั่งเก้าอี้เทรนเนอร์ แต่ทัพ'โลส บลังโกส'จบซีซั่นแบบว่างเปล่า


ฤดูกาล 1991-1992

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นในช่วงฤดูกาล 1991-92 หลัง เรอัล มาดริด เป็นทีมนำของลีกาและยังอยู่บนเวทียุโรป ทว่า ราม่อน เมนโดซ่า สั่งปลด อันทิช ออกจากตำแหน่งเนื่องจากท่านประธานทีมชุดขาวโปรดปราน เลโอ บีนฮัคเกอร์ แต่ เรอัล มาดริด ชวดแชมป์ลีกาหลังการพ่ายแพ้ที่ เตเนรีเฟ่, ตกรอบรองชนะเลิสหลังการปราชัยต่อ โตริโน่ ตบท้ายความช้ำด้วยการพ่าย แอตเลติโก มาดริด 0-2 ในนัดชิงชนะเลิศ 


ฤดูกาล 1993-1994

เรอัล มาดริด ปลด เบนีโต้ ฟลอโร่ ออกจากตำแหน่งหลังเกมพลิกพ่าย เยอีด้า ก่อนสโมสรจะแต่งตั้ง บีเซนเต้ เดล บอสเก้ จะถูกดันขึ้นมาทำหน้าที่คุมทีมชั่วคราาว แต่ทีมชุดขาวไม่ผ่านเข้ารอบ คัพวินเนอร์สคัพที่ลงดวลกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และจบเพียงอันดับ 3 บนเวทีลีกาเท่านั้น


ฤดูกาล 1995-1996

ประวัติศาสตร์การเป็นเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด ของ ฮอร์เค่ วัลดาโน่ หลังทำได้แค่เสมอ ราโย บาเยกาโน่ ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นลีกา ซึ่ง เดล บอสเก้ ขึ้นมาคุมทีมชั่วคราว ก่อนการมาถึงของ อาร์เซนีโอ อีเกลเซียส แต่ทีมชุดขาวตกมาอยู่อันดับ 6 ของลีกา, ตกรอบ 16 ทีมของศึก โกปา เดล เรย์ และตกรอบ 8 ทีมของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก


ฤดูกาล 1999-2000

เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 8 หลังการเปลี่ยนเทรนเนอร์กลางทางจาก จอห์น โตแช็ค เป็น เดล บอสเก้ ซึ่งเริ่มต้นยุคทองกับทัพ'โลส บลังโกส' ก่อนเพิ่มเติมด้วยแชมป์สโมสรโลก แต่น่าเสียดายที่ร่วงตกรอบตัดเชือกของศึก โกปา เดล เรย์ หลังการปราชัยต่อ เอสปันญ่อล แต่การคว้าแชมป์ยุโรปแบบคาดไม่ถึงยังเป็นที่กล่าวขวัญจนถึงทุกวันนี้ 


ฤดูกาล 2004-2005

เริ่มต้นด้วย โฆเซ่ อันโตนิโอ กามาโช่ ก่อนจะเปลี่ยนมือมาเป็น มาเรียโน่ การ์เซีย เรม่อน จนมาถึง วานแดร์เล่ ลุกชอมบูร์โก้ ซึ่งเข้าทำผลงานในช่วงต้นได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดทีมชุดขาวจบซีซั่นแบบมือเปล่า


ฤดูกาล 2005-2006

ลุกชอมบูร์โก้ มีประสบการณ์ในฐานะเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด เพียง 11 เดือนกับ 4 วัน ก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกแทนที่โดย ฆวน ราม่อน โลเปซ กาโร่ อีกหนึ่งเทรนเนอร์ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจาก เรอัล มาดริด กาสตีย่า แต่ทัพ'โลส บลังโกส'ได้แค่รองแชมป์ลีกา, ตกรอบ 16 ทีมของศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกหลังการปราชัยต่อ อาร์เซน่อล และ ตกรอบตัดเชือกของศึก โกปา เดล เรย์ หลังการพ่าย เรอัล ซาราโกซ่า 


ฤดูกาล 2008-2009

แบร์นด์ ชูสเตอร์ ถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยมี ฆวนเด้ รามอส เข้ามารับช่วงต่อและช่วยนำทีมชุดขาวจากอันดับ 5 เข้าป้ายในฐานะรองแชมป์ลีกา แต่ตกรอบ 16 ทีมของศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก หลังพ่าย ลิเวอร์พูล แบบน่าขายหน้าโดยเฉพาะการปราชัยที่แอนฟิลด์แบบหมดสภาพ 0-4


ฤดูกาล 2015-2016

ฟลอเรนติโน่ เปเรซ แสดงความเชื่อมั่นต่อ ซีเนดีน ซีดาน ด้วยการแต่งตั้งให้นั่งเก้าอี้เทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด แทน ราฟาเอล เบนีเตซ ก่อนที่ ซีดาน จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเทรนเนอร์ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรโดยเฉพาะการนำทัพ'โลส บลังโกส'คว้าแชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน โดยใช้เวลาการทำงานเพียง 5 เดือนในการคว้าแชมป์สมัยแรกที่มิลาน


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด