:::     :::

ตรวจผลสอบ "ช้างศึก" หลังทุบอินโด 4-2

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2561 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
3,629
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วันนี้ผมขออนุญาตสวมบทบาทโค้ช เค ไลเซนส์อีกครั้ง ในการวิเคราะห์ผลงานของแข้ง "ช้างศึก" หลังจบเกมเปิดบ้านเอาชนะ อินโดนีเซีย 4-2 ในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 รอบแบ่งกลุ่มนัดที่สอง ซึ่งแม้ผลลัพธ์จะคว้า 3 แต้มได้ตามเป้า แต่ก็ยอมรับว่ายังดีใจได้ไม่สุดเพราะรู้สึกคิ้วขมวดอยู่้บ้างในบางจังหวะ และนี่คือมุมมองของผมต่อขุนพล "ช้างศึก" แต่ละตำแหน่งว่ามีผลงานเป็นอย่างไรกันบ้าง

ผู้รักษาประตู 

ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน 

สองประตูที่เสียไป โทษ "แชมป์" ไม่ได้เพราะสุดปัญญาจริงๆ แต่จังหวะอื่นๆ ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานไม่มีอะไรผิดพลาด ทั้งการออกมาตัดบอลโด่ง และมีลูกเซฟยากๆ หลายครั้งที่ทำให้ไทยไม่เสียประตูมากไปกว่านี้ การเปิดบอลยาวซึ่งเป็นจุดเด่นก็ถือว่าทำได้ดีเหมือนเคย 

แบ็กซ้าย

กรกช วิริยอุดมศิริ

"มิ้ง" ดูจะทำงานหนักที่สุดแล้วในแผงแบ็คโฟร์ ทั้งเกมรับที่ปิดลูกครอสด้านข้างของอินโดได้หลายจังหวะ วิ่งขึ้นลงตลอด 90 นาที และมีส่วนร่วมกับเกมเยอะมาก ลูกเซ็ตพีซยังหวังผลได้ทั้งประตูแรกที่หลอกยิงสามเหลี่ยมเสาสอง รวมถึงลูกแซงนำ 2-1 ที่เปิดเข้าไปแบบได้เสียจนเป็นประตู ผลงานในทัวร์นาเม้นต์นี้กองหลังจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้งสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนทำประตูได้โดยตรงถึง 3 ครั้งรวมถึงยิงเองอีก 1 ประตูไปแล้ว

แบ็กขวา

ฟิลิปป์ โรลเลอร์

ดูเหมือนแบ็คลูกครึ่งไทย-เยอรมัน จะถูก ราเยวัช กำชับอย่างหนักไม่ให้เติมเกมรุกเกินครึ่งสนาม ทำให้บทบาทและการมีส่วนร่วมในเกมบุกดูจะน้อยไปหน่อย เพราะปกติแล้วเจ้าตัวเป็นแบ็คจอมบุกโดยธรรมชาติ แต่ในเกมรับก็ถือว่ายังรับมือกับปีกที่มีความเร็วและความคล่องได้ไม่ดีนัก ปล่อยให้คู่ต่อสู้กระชากจี้ถึงสุดเส้นได้หลายครั้ง การป้องกันการครอสก็ยังค่อนข้างยืนห่าง ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายทีเดียวหากเจอคู่แข่งที่ครอสบอลได้หลากหลายและแม่นยำกว่านี้

เซนเตอร์

เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว

"กัปตันเหลิม" มีจังหวะเข้าพรวดในครึ่งแรกจนทีมเกือบเสียประตู สิ่งที่ต้องชมว่าทำได้ตามมาตรฐานก็คือการป้องกันลูกกลางอากาศจากจังหวะครอสของอินโด และสามารถบิวดิ้งเกมด้วยการพาบอลขึ้นมาได้เอง จ่ายบอลในแนวรับได้ละเอียดไม่ร้อนลน แต่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมช่วงท้ายเกม ทำให้อินโดมีโอกาสกดดันเกมรับจากลูกเตะมุม จนปล่อยให้กองหลังที่สูงใหญ่ของอินโดได้ขึ้นโหม่งแบบไร้ตัวประกบจนเสียประตูที่สอง และเกือบจะโดนเพิ่มอีกด้วยซ้ำ ด้วยบทบาทผู้นำในเกมรับ กองหลังตัวเก่งของ "สวาดแคท" คงจะต้องแสดงบทบาทสั่งการเพื่อนๆ ให้เข้มยิ่งกว่านี้ในครั้งต่อไป

พรรษา เหมวิบูลย์

ขึ้นมากดดันคู่ต่อสู้ได้ดีในจังหวะเซ็ตพีซจนมีชื่อขึ้นสกอร์บอร์ดให้ไทยแซงขึ้นนำ 2-1 ทำให้ครึ่งหลังทีมชาติไทยเล่นได้ง่ายขึ้น จังหวะที่น่าชื่นชมนอกจากลูกนี้ก็คือการบล็อคลูกยิงของ อินโด ในกรอบเขตโทษช่วงต้นเกม แต่การออกบอลจากแนวลึกที่"โย่ง" เคยทำได้ดีก่อนหน้านี้หายไป อาจเพราะถูกโค้ชกำชับให้เน้นความรัดกุมเป็นพิเศษ ข้อผิดพลาดที่เห็นได้ชัดก็คงไม่ต่างจาก "กัปตันเหลิม" คือช่วงท้ายเกมเสียสมาธิในการประกบตัวคู่แข่งจนทีมรวนเกือบต้องเสียประตูเพิ่ม 

กองกลาง

ธนบูรณ์ เกษารัตน์

ช่วยรักษาสมดุลรับและรุก โฮลดิ้งบอลได้เหนียวแน่นเสียบอลยากและออกบอลให้เพื่อนเล่นได้ง่าย มีโอกาสเติมขึ้นมาสับไกเต็มข้อสวยๆ ให้โกลอินโดต้องเซฟไปหนึ่งครั้ง โดยรวมถือว่าทำได้ดีกว่านัดแรก แต่ยังดูแหยงๆ อยู่บ้างในการเข้าปะทะหนักๆ กับคู่ต่อสู้ ยังไงการมี "ตั้ม" อยู่ในสนามก็สามารถสร้างประโยชน์ให้ทีมได้ไม่มากก็น้อย คงต้องลุ้นกันว่าอาการบาดเจ็บในเกมนี้จะไม่ร้ายแรง เพราะนัดหน้าที่ต้องไปเยือน ฟิลิปปินส์ ทีม "ช้างศึก" จำเป็นต้องมีเขาช่วยคุมจังหวะให้เพื่อนอย่างมากแน่ๆ 

ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์

เคลื่อนที่ไปทั่วสนามด้วยพละกำลังที่เปี่ยมด้วยความฟิตเต็มที่ ครึ่งแรกอาจจะดูเงียบไปหน่อย พอครึ่งหลังถูกดันไปเล่นเกมรุกมากขึ้นทำให้บทบาทในแดนกลางเริ่มเด่นชัด แต่หลายจังหวะยังขาดๆ ล้นๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะในพื้นที่สุดท้าย นัดนี้เรียกใบเหลืองจากคู่เซนเตอร์ของอินโดนีเซีย ทำให้กองหน้าตัวเป้าอย่าง อดิศักดิ์ ไกรษร เก็บบอลได้ง่ายขึ้น หากเพิ่มเรื่องการเลี้ยงทะลุทะลวง และแสดงให้เห็นวิชั่นส์ในการจ่ายบอลแบบได้เสียมากกว่านี้ "นิว" จะเป็นกองกลางที่ครบเครื่องไปอีกขั้น 

สรรวัชญ์ เดชมิตร

อยู่ในเกมมากที่สุดในสนามแล้วสำหรับ "แคมป์" ทั้งครึ่งแรกและครึ่งหลัง สายตาและจินตนาการในการผ่านบอลของเขาสามารถสร้างความแตกต่างได้ และนับว่าเป็นผู้เล่นที่ ราเยวัช ขาดไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่จ่ายบอลทรูพาสให้ ปกเกล้า หลุดเข้าไปยิงลูกนำ 4-1 รวมถึงอีกลูกที่เปิดจากแนวลึกให้ ศุภชัย โล่งๆ ในกรอบเขตโทษ นัดนี้ขอยกให้เพลย์เมกเกอร์จาก แบงค็อก ยูไนเต็ด เป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในแดนกลางของทีมชาติไทย และเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ของเกมนี้

ปีกซ้าย

นูรูล ศรียานเก็ม

ความเร็วความจี๊ดจ๊าดของ นูรูล ไม่สามารถกดดันแนวรับอินโดได้มากนัก เพราะแบ็กขวาของ อินโด ยืนต่ำแทบไม่เติมเกมขึ้นมาเลย ดูเหมือนโค้ช บิม่า ซักติ ของอินโดนีเซียจะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพราะเมื่อ นูรูล ได้บอลจะมีผู้เล่นมาคอยซ้อนคอยชนไม่ให้มีโอกาสได้ดวล 1 ต่อ 1 แม้แต่ครั้งเดียว หาก ราเยวัช ต้องการใช้งาน นูรูล ในเกมลักษณะแบบนี้อาจจะต้องเพิ่มจ็อบให้เขาเคลื่อนที่เข้าไปที่กรอบเขตโทษมากกว่าอยู่แต่ริมเส้น อีกอย่างปีกจากการท่าเรือเป็นตัวรุกธรรมชาติ ใครก็รู้ ดังนั้นคงจะไปคาดหวังให้เขาถอยลงมาช่วยซ้อนแบ็คในการเล่นเกมรับไม่ได้อยู่แล้ว

ปีกขวา 

มงคล ทศไกร 

เป็นเกมที่ "จ่าเย็น" เฟลที่สุดนัดหนึ่งเลยก็ว่าได้ในการเล่นทีมชาติ เพราะต้องเจอกับแบ็คซ้ายของอินโดนีเซียที่คล่องแคล่วและเชิงสูงแถมไม่ยอมขึ้นมาเติมเกมรุก ทำให้การเคลื่อนที่เข้าไปหาโอกาสทำประตูยามไม่มีบอลซึ่งเป็นจุดเด่นนั้นแทบทำไม่ได้เลย จังหวะประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมดูติดๆ ขัดๆ บอลสะดุดไปหมด จน ราเยวัช ต้องปรับแผนด้วยการเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง 

กองหน้า

อดิศักดิ์ ไกรษร

ครึ่งแรกถูกตัดออกไปจากเกมอย่างสมบูรณ์ แต่ครึ่งหลังเริ่มมีบทบาทเมื่อถอยลงมาล้วงบอลจากแดนกลางมากขึ้น สามารถเก็บบอลได้และประสานงานกับเพื่อนได้ ตั้งแต่ที่คู่เซนเตอร์ของ อินโดนีเซีย ถูกใบเหลืองไปคนละใบ และจุดเด่นในเรื่องความเฉียบขาดในการปิดสกอร์ก็ยังหวังผลได้เสมอ จังหวะพลิกเข้าไปยิงให้ทีมขึ้นนำ 3-1 แสดงให้เห็นถึงวิญญาณเพชฌฆาต  เป็นประตูที่ช่วยคลายความกดดันให้กับทีมชาติไทยอย่างแท้จริง 

ตัวสำรอง

ปกเกล้า อนันต์ 

ไม่แสดงอาการประหม่าหรือร้อนรนแม้เพิ่งถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในช่วงต้นครึ่งหลัง ผ่านบอลและประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างเนียนตา จังหวะวิ่งสปรินท์ทำทางให้ สรรวัชญ์ จ่ายทะลุช่อง พิสูจน์ให้เห็นถึงความเข้าขารู้ใจของทั้งคู่ และนิ่งพอที่จะมองเห็นว่าผู้รักษาประตูอินโดทะเล่อทะล่าออกมาไกล ก่อนจะชิพบอลเข้าประตูไปอย่างเหนือชั้นในลูกที่นำ 4-1 นอกจากนั้นยังมีจังหวะยิงไกลจากนอกกรอบที่เป็นเครื่องหมายการค้าเกือบได้ประตูอีกครั้ง ถือเป็นอะไหล่สำคัญที่ ราเยวัช สามารถเลือกใช้งานได้อีกในเกมต่อๆ ไป

ศุภชัย ใจเด็ด

มีเวลาในสนามประมาณ 22 นาที แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการพาบอลไปกับตัวรวมถึงจังหวะจบสกอร์ แม้วัยยังไม่ครบ 20 ปีดีก็ตาม "อาร์ม" มีความแข็งแกร่ง และเข้าใจเกมที่ดี มีประโยชน์กับทีมทั้งการเก็บบอล, ผ่านบอล และช่วยเกมรับ ถือเป็นผู้เล่นแห่งอนาคตของทีมชาติไทย ที่ ราเยวัช กำลังค่อยๆ ส่งลงสังเวียนเพื่อสั่งสมประสบการณ์

สุมัญญา ปุริสาย

มีเวลาเล่นแค่เพียงไม่ถึง 5 นาที แต่ก็เกือบทำประตูได้จากจังหวะยิงไกลเกินครึ่งสนาม ด้วยเวลาแค่นี้คงไม่สามารถประเมินอะไรได้ เพราะผู้เล่นแบบ "ตั๊ก" จำเป็นต้องมีเวลาเพื่อแสดงศักยภาพอย่างที่เราเคยเห็นกันมาแล้วในเกมอุ่นเครื่องที่ชนะ ตรินิแดดแอนด์โตเบโก เมื่อเดือนก่อน

เฮดโค้ช

มิโลวาน ราเยวัช

ช่วงต้นเกมการวางแผนดูจะขัดใจแฟนบอลเพราะเน้นเกมรับมากไปหน่อย โชคดีที่ไทยฉกฉวยโอกาสจากลูกเซ็ตพีซได้ดี ทำให้จบครึ่งแรกด้วยการขึ้นนำ ครึ่งหลังการปรับเอา ปกเกล้า ลงมาแทน มงคล มาช่วยยืนแพ็คกลางคู่กับ ธนบูรณ์ ทำให้ สรรวัชญ์ และ ฐิติพันธ์ มีอิสระในการสร้างสรรค์เกมรุกมากขึ้น รวมถึงกองหน้าอย่าง อดิศักดิ์ ก็เล่นง่ายขึ้นเพราะมีเพื่อนเข้ามาช่วยประคองเวลาเก็บบอล นัดนี้ดูเหมือนกุนซือชาวเซิร์บ จะหัวเสียอย่างมากที่ทีมเสียประตูจากลูกตั้งเตะถึง 2 ลูก และคงจะต้องกลับไปติวเข้มลูกทีมอย่างหนักเพื่อไม่ยอมให้พลาดง่ายๆ แบบนัดนี้อีก 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด