:::     :::

คนลูกหนังวิพากษ์บอลไทยหลังตกรอบซูซูกิคัพ

วันอาทิตย์ที่ 09 ธันวาคม 2561 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
6,551
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเสียงก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยถาโถมเสมือนเป็นเชื้อไวรัสที่กัดกินทั้งสารบบว่าเรากำลังมาถูกทางหรือไม่กับแนวทางต่างๆ ที่กำลังเป็นอยู่ ปีนี้ทีมชาติไทยประสบความล้มเหลวแทบทุกชุด และล่าสุดกับรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ที่ทีม "ช้่างศึก" พลาดท่าตกรอบรองชนะเลิศ ท่ามกลางความคับข้องใจของแฟนบอลที่มีต่อแท็กติกรถบัสของ มิโลวาน ราเยวัช ผมเลยถือโอกาสลองซาวด์เสียงของคนในแวดวงลูกหนังไทยมาฝากกันว่า เขาคิดเห็นอย่างไรกับทีมชาติไทยในยุคปัจจุบัน


เฉลิมวุฒิ สง่าพล

อดีตกองกลางทีมชาติไทย

เห็นหลายๆ คนวิจารณ์วิธีการเล่นของทีมชาติไทยชุดนี้และแท็กติกของราเยวัช ตัวผมเองขอพูดในเชิงให้ความรู้ดีกว่าครับ คือแน่นอนล่ะว่าแนวทางการทำทีมของโค้ชแต่ละคนไม่เหมือนกัน ราเยวัชเขาก็คงต้องการให้ทีมชาติไทยมีเกมรับที่รัดกุมไว้ก่อนเป็นลำดับแรก และเล่นเน้นผลการแข่งขันมากกว่าความสวยงาม ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่โค้ชต้องการให้นักเตะทำนั้น นักเตะเราเข้าใจเขาทั้งหมดหรือไม่ อย่างเช่นในเกมที่เราเสมอมาเลเซียแล้วตกรอบ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทั้งที่เราเป็นเจ้าบ้านและควรเป็นฝ่ายที่สามารถควบคุมบรรยากาศของเกมจากความได้เปรียบทั้งแฟนบอลและการขึ้นนำก่อนถึง 2 ครั้ง แต่นักเตะบางคนก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ หลายๆ จังหวะที่พยายามจะเข้าไปแย่งบอลจากเท้าของมาเลย์ แล้วก็กลายเป็นไปเตะหนักใส่เขา พอกรรมการเป่าฟาวล์ก็ผายมือแสดงอาการไม่พอใจคำตัดสิน เรามัวไปใจจดใจจ่อเสียสมาธิกับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การทำประตู มัวไปต่อล้อต่อเถียงกับกรรมการ ตรงกันข้ามนักเตะมาเลเซียกลับนิ่งกว่าในสถานการณ์ที่กดดัน มันผิดวิสัยมากนะที่เล่นในบ้านตัวเองแท้ๆ แต่กลับทำฟาวล์ในจังหวะที่ไม่มีอะไรบ่อยมาก เตะติดดาบจนโดนใบเหลืองกันไปหลายคน ซึ่งพอดูภาพช้าแล้วก็เห็นอยู่ว่าเราไปเตะเขาจริงๆ 

ถ้านักเตะเราเก๋าหน่อยนะ เราแค่ยืนคัฟเวอร์บังทางเลี้ยงของคู่แข่งแล้วคอยดักคอยซ้อนกันก็ได้ เพราะผู้เล่นแดนกลางมาเลย์เขาก็ไม่ได้เขี้ยวเหมือนพวกเกาหลีหรือญี่ปุ่น ที่พอเลี้ยงผ่านไปแล้วจะสร้างปัญหาให้เราได้มากขนาดนั้น พอยิ่งเล่นถึงลูกถึงคนแบบนี้ก็ยิ่งเป็นการกดดันตัวเองไปอีก ผมไม่แน่ใจว่าราเยวัชเขามีปัญหาในการสื่อสารกับลูกทีมหรือเปล่า เพราะเขาต้องสื่อสารต่อผ่านล่ามถึง 2 รอบ ในจังหวะแบบนี้ถ้าเป็นโค้ชไทยก็ต้องปรามหรือเตือนกันแล้ว จริงๆ ไม่ต้องให้โค้ชเตือนหรอก ถ้าในทีมมีผู้เล่นที่เป็นลูกพี่ใหญ่สามารถเป็นคอมมานเดอร์ได้ ก็ต้องบอก และคอยดึงสมาธิของเพื่อนๆ กลับมาสู่เกม อย่างสมัยที่ผมเล่น ในทีมก็จะมีรุ่นพี่ มีเพื่อนคอยบอกกันเองตลอด 

เรื่องการถูกจำกัดอิสระในการเล่นเกมรุก ผมไม่เชื่อนะว่าจะมีโค้ชคนไหนในโลกที่สั่งห้ามลูกทีมบุก หรือยิงประตู แน่นอนล่ะในเกมรับโค้ชต้องจำกัดการยืนตำแหน่งและการเล่นแน่ๆ เพราะเขาต้องการรักษาเชพในเกมรับ ถ้าสั่งห้ามนักเตะบางคนเลี้ยงบอลไปเองก็อาจเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่ใกล้ชิดกับนักเตะคงมองเห็นว่าบางคนถ้าเลี้ยงไปเองก็คงทำเสีย ผมไม่แน่ใจว่านักเตะของเราเข้าใจแท็กติกโค้ชได้เต็ม 100% หรือเปล่า 

ส่วนลูกจุดโทษส่วนตัวผมคิดว่าถ้าเป็นจังหวะที่เรานำอยู่ 1-0, 2-0 หรือสามารถยิงเพิ่มเพื่อทำสถิติสร้างความมั่นใจอันนั้นไม่เป็นไร แต่จังหวะสำคัญแบบนั้น มันเป็นลูกที่กำหนดชะตาชีวิตเลยนะ คนที่ยิงควรจะเป็นคนที่มีประสบการณ์เคยยิงลูกสำคัญต่อเกมแบบนี้มากกว่า ไม่ใช่ให้คนที่เป็นดาวซัลโวยิง อาจจะเลือกเอาคนที่นิ่งที่สุึด สภาพจิตใจเข้มแข็งที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นกองหน้าก็ได้ ผมไม่ได้โทษเจ้าเหม็น (อดิศักดิ์ ไกรษร) ที่ยิงไม่เข้านะ เพราะจังหวะแบบนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ เมสซี่ ก็ยังพลาดได้ เขาเองก็ไม่น่าจะเคยยิงลูกโทษที่สำคัญแบบนี้เลย แต่ถ้าผมเป็นโค้ชผมจะไม่ปล่อยให้นักเตะอาสายิงเองและต้องเบรกเอาไว้ก่อน ผมจะเรียกคนที่ทำได้ดีที่สุดตอนซ้อมมายิง ซึ่งก็ต้องมีการกำหนดเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว 

 

สะสม พบประเสริฐ 

อดีตกองกลางทีมชาติไทย

ก็เหมือนที่ผมเคยพูดไว้ว่าทีมชาติไทยเราหันไปเล่นเกมรับมากซะจนความเคยชินในการเล่นเกมรุกหายไป พอมีจังหวะได้บุกไอเดียหรือจินตนาการในการจะคิดหรือจะทำอะไรเพื่อไปจบที่การยิงประตูมันก็หายไป มันตื้อมันตันจนนึกไม่ออกว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ทัวร์นาเม้นต์นี้ผมแทบไม่เห็นการเข้าทำที่มาจากการฝึกซ้อมเลยนะ ถ้าไม่นับเกมที่เจอติมอร์ กว่าครึ่งนึงของประตูที่ทำได้เป็นลูกเซ็ตเพลย์ทั้งนั้น ลูกโอเพ่นเพลย์มีน้อยมาก โอเคล่ะ มองในแง่ดีตอนนี้เราก็มีทีเด็ดในการเล่นลูกนิ่งเพิ่มขึ้นมา ดูมีความหลากหลายมีวิธีการเล่นมากขึ้น แต่บอลทะลุช่อง บอลเท้าสู่เท้า การเลี้ยงกินตัว หรือการเก็บตกในจังหวะสองเราไม่มีเลย นัดสุดท้ายสังเกตดูว่าจังหวะสอง เวลาสกัดออกมาจะเป็นฝั่งของมาเลย์ที่เก็บกินหมด เพราะเราขาดการคอมแพค ไม่มีตัวไปคอยยืนในไลน์ ในเกมรับเองแผงแบ็คโฟร์เราก็ยืนรักษาตำแหน่งตัวเองอย่างเดียวไม่มีการเข้าเพรสในแดนของคู่ต่อสู้ มีแค่ สรรวัชญ์ กับ ฐิติพันธ์ ที่พยายามวิ่งเพรสแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะไม่มีตัวคอยช่วยซ้อน 

แน่นอนล่ะว่าถ้า 4 คนที่เป็นตัวหลักกลับมา วิธีการเล่นก็อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ในระดับเอเชียมันยากกว่านี้เยอะ ความสามารถเฉพาะตัวของ ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลย์ ไปเทียบกับ ยูเออี หรือ บาห์เรน มันคนละเรื่องอยู่แล้ว แต่ผมก็มองว่าในระดับอาเซียน เราไม่จำเป็นต้องยืนต่ำรักษาตำแหน่งคอยเพรสแค่ในแดนตัวเอง แบ็คเราน่าจะสามารถขึ้นไปช่วยเพรสให้กองกลางได้ ไม่ต้องกลัวหลุดตำแหน่งขนาดนั้น แต่ถ้ามองว่าเป็นการซ้อมแท็กติกเพื่อเอเชียนคัพ ผมก็มองว่าเรายังขาดการยืดหยุ่นในแต่ละเกมไป ในสถานการณ์ที่เราต้องการประตู เพราะเกมแรกเสมอ 0-0 มาเล่นบ้านเราจะเสียประตูไม่ได้ แต่วิธีการเล่นของทีมเราก็ยังพะวงอยู่กับเกมรับ ทั้งๆ ที่ถ้าเสมอแบบมีสกอร์เราตกรอบ แล้วไม่ใช่ว่ารับเหนียวแน่นด้วยนะ เหมือนรับรอโดนมากกว่า นักเตะตัวรุกที่น่าจะช่วยทีมได้ก็ส่งลงมาช้ามาก ผมยังคิดว่า สุมัญญา ถูกส่งลงมาช้าไปหน่อย พอลงมาก็เปิดให้ทีมได้ประตูทันทีเลย แผงกลางที่มาจากแบงค็อก ทั้ง สรรวัชญ์ และ ปกเกล้า รวมถึง สุมัญญา ก็ดูไม่เหมือนที่เล่นกันในสโมสรเลย ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นแท็กติกของโค้ชหรือเปล่าที่ทำให้นักเตะเล่นผิดธรรมชาติของตัวเองแบบนั้น 

ส่วนลูกจุดโทษไม่ต้องไปพูดถึงเลยเพราะเราควรจะปิดให้ได้ตั้งแต่ในเกมปกติ จุดโทษอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าลูกนี้ยิงเข้าไปทุกคนก็อาจไม่พูดถึงเกมนี้อีก แน่นอนล่ะบอลชนะก็ถือว่าตามเป้า แต่พอยิงไม่เข้าแล้วทีมตกรอบ ทีนี้โค้ชก็ต้องถูกแฟนบอลตำหนิแล้วว่าทำไมทีมถึงแพ้ โดยเฉพาะในระดับอาเซียน ซึ่งสำหรับผมถ้าถามว่าแพ้ทีมในอาเซียนแปลกมั้ย มันไม่แปลกหรอก ฟุตบอลมันก็แบบนี้ไม่มีทางชนะได้ทุึกวัน แต่สิ่งที่ขาดหายไปในทัวร์นาเม้นต์นี้คือความน่าเกรงขามของทีมชาติไทยในสายตาของชาติในอาเซียน เพราะเราแทบไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าด้วยวิธีการเล่นของเราเลย

 

ธงชัย สุขโกกี

อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทย

ผมยังมั่นใจนะว่าคุณภาพของนักเตะของเราในไทยลีก ถึงแม้จะไม่มี 4 ตัวหลักที่ไปเล่นต่างแดน ก็ยังเหนือกว่าเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่สิ่งที่ทำให้สร้างผลงานออกมาได้ต่ำกว่ามาตรฐานในแต่ละเกมมันอาจจะเกิดจากการถูกจำกัดวิธีการเล่นซึ่งผิดธรรมชาติของนักเตะเรา คือที่ผ่านมาใครก็รู้ว่าทีมชาติไทยเป็นทีมที่มีปัญหาในเกมรับ แต่จุดเด่นของเราคือจินตนาการและทักษะความสามารถเฉพาะตัวในกลุ่มผู้เล่นเกมรุก นักเตะอย่าง ฐิติพันธ์ หรือ สรรวัชญ์ หรือคนอื่นๆ มีทักษะในการเล่นเกมรุกที่ดีๆ หลายคน การที่ราเยวัชเข้ามาและเน้นสร้างเกมรับให้เหนียวแน่นเป็นลำดับแรกก็ถือว่าเขาแก้ได้ถูกจุด และเขาคงวิเคราะห์ศักยภาพของผู้เล่นไทยแล้วว่าอยู่ในระดับไหนถ้าต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าแล้วควรจะเล่นยังไง 

แต่กับการเจอทีมในระดับอาเซียน แล้วใช้วิธีการเล่นแบบเดียวกับที่เตรียมไว้ใช้ในเอเชียนคัพ ผมคิดว่ามันทำให้นักเตะของเราถูกปิดกั้นอิสระในสไตล์ที่แต่ละคนถนัดไป อย่างแบ็คของเราปกติแล้วเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในการเติมขึ้นไปสร้างเกมรุก ก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองมีได้เต็มศักยภาพ แล้วใช่ว่าเกมรับของเราตอนนี้จะเหนียวแน่นรัดกุมอะไรมากมายด้วย 

ผมไม่ได้บอกว่าราเยวัชเขาไม่เก่งนะ ประสบการณ์ของเขาผ่านเกมระดับโลกมาแล้วมากมาย แต่สิ่งที่ไม่แน่ใจก็คือนักเตะของเราเข้าใจแท็กติกของเขาได้มากน้อยแค่ไหน

ส่วนลูกจุดโทษที่ยิงไม่เข้านั่นมันปลายเหตุแล้ว เรามีเวลา 90 นาทีที่ควรจะเอาชนะให้ได้ เพราะเราได้เปรียบทุกอย่างทั้งบรรยากาศในสนามที่เราเป็นเจ้าบ้าน และความฮึกเหิมที่ได้เล่นในวันชาติของเราเอง แต่กลับกลายเป็นทีมเราที่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน ตอนที่นำ 1-0 และ 2-1 การถอยกลับไปเล่นเกมรับเพื่อรักษาสกอร์ไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะมันเป็นการมอบความหวังให้คู่ต่อสู้ และโค้ชของมาเลย์เขาก็ทำการบ้านมาได้ดีว่าต้องรับมือกับผู้เล่นไทยคนไหนบ้างเพื่อให้ทีมไทยสร้างเกมรุกในจังหวะสวนกลับไม่ได้ ตรงกันข้ามไม่รู้ว่านักเตะของเราได้เตรียมตัวไว้ก่อนหรือเปล่าว่าตำแหน่งที่ต้องเผชิญหน้ากันเขาเล่นแบบไหน จริงๆ แล้วคู่ต่อสู้อาจจะไม่ต้องทำการบ้านอะไรมากก็ได้ เพราะทีมชาติไทยเราเล่นเหมือนเดิมทุกเกม

 

โชคทวี พรหมรัตน์ 

อดีตกองหลังทีมชาติไทย

เรื่องแท็กติกโค้ชแต่ละคนก็มีแนวทางที่ต่างกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว สิ่งที่รู้สึกแปลกใจก็คือการเลือกตัวผู้เล่นลงสนามในเกมแบบนี้ เพราะเกมแรกเราเสมอบ้านเขามา 0-0 ดังนั้นเกมนี้เราจำเป็นต้องมีสกอร์ แต่โค้ชก็ยังเปลี่ยนกลับมาเลือกคนที่ลงมาช่วยเกมรับได้เอาไว้ก่อน นัดที่ผ่านๆ มา นูรูล (ศรียานเก็ม) กำลังทำได้ดี แต่โค้ชเปลี่ยนเอา มงคล (ทศไกร) มาเป็นตัวจริง เพราะอาจจะมองว่า มงคล ช่วยเกมรับได้มากกว่า ให้ไปชนไปบดให้คู่ต่อสู้อ่อนแรงแล้วค่อยส่ง นูรูล ลงมาตอนหลัง แต่กว่าที่นูรูลจะลงมาก็เหลือเวลาแค่นิดเดียวแล้ว หรืออย่าง สุมัญญา (ปุริสาย) ผมก็มองว่าในเกมแบบนี้เขาน่าจะทำได้ดีในการเล่นเกมรุกกว่า ธนบูรณ์ (เกษารัตน์) คือเราต้องการประตู ไม่ใช่ว่าเราเสมอแล้วจะเข้ารอบ

อีกอย่างผมก็ยังเสียดายที่โค้ชเขาไม่เลือกใช้ผู้เล่นที่มีประสบการณ์ให้ไปประคองทีมบ้าง นักเตะอย่าง ลีซอ (ธีรเทพ วิโนทัย), สารัช (อยู่เย็น), ทริสตอง โด, ชาริล ชัปปุยส์ ผมมั่นใจว่าในระดับอาเซียนเขาเอาอยู่ เพราะเกมอาเซียนความกดดันมันสูงอยู่แล้ว ประสบการณ์ของนักเตะเป็นสิ่งที่ช่วยได้เยอะ ในทีมชุดนี้ไม่มีนักเตะที่สามารถควบคุมความกดดันให้เพื่อนร่วมทีมได้เลย และจังหวะทีเด็ดทีขาด ต่อให้เป็นผู้เล่นดาวรุ่งหรือคนที่ฟอร์มดีในลีกขนาดไหน ก็อาจควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้เท่าคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว 

จุดโทษที่กอล์ฟ (อดิศักดิ์ ไกรษร) ยิงพลาด อันนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลย เพราะลูกแบบนี้ใครก็พลาดได้ เคยยิงจุดโทษในจังหวะตัดสินเกมมั้ยล่ะ มันไม่ง่ายเลยนะ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของประสบการณ์ด้วย ถ้ามีคนที่เป็นตัวยิงจุดโทษเบอร์หนึ่งของทีม ที่เคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว อาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็ได้ แต่ก็นั่นแหละเรามาพูดกันหลังจากที่เกมผ่านไปแล้วจะพูดอะไรก็ได้ ย้อนกลับไปดูดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นทั้งเกม ที่ทำให้เราถึงต้องมาลุ้นถึงลูกจุดโทษฟ้าประทานแบบนี้

 

ธรากร เขยนอก

เอเจนต์ชื่อดังอดีตกองหลังเยาวชนทีมชาติไทย

แท็กติกการเล่นเกมรับแล้วโต้กลับก็เป็นวิธีการหนึ่งสำหรับเกมฟุตบอลนะ แต่ผมก็มองว่าสำหรับเกมในอาเซียนเราน่าจะแสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามใหู้คู่ต่อสู้เขาเกรงกลัวเราได้บ้าง ตลอดมาทุกทีมในอาเซียนเมื่อเจอทีมชาติไทยเขาก็รู้สึกว่าทีมเราแข็งแกร่งกว่าเขาทั้งนั้น แต่สำหรับทัวร์นาเม้นต์นี้มันไม่ใช่ เพราะเราไม่มีการเซ็ตบอลเพื่อทำเกมรุก แต่จะใช้การโต้กลับและผ่านบอลไม่กี่จังหวะ และใช้ผู้เล่นทำเกมรุกแค่ 2-3 คนเท่านั้น ซึ่งยิ่งเล่นไปคู่แข่งก็จับทางเราได้แล้วว่าวิธีการเล่นของเรามีเท่านี้

ถามว่ามันเพียงพอมั้ยที่จะคว้าแชมป์อาเซียน จริงๆ แล้วก็อาจจะเพียงพอ แต่อาจจะด้วยศักยภาพของผู้เล่นที่ไทยเราไม่ได้เหมือน กานา ที่ ราเยวัช เขาเคยทำเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก (2010) เราไม่้ได้มีผู้เล่นที่ร่างกายแข็งแกร่ง ไม่มีกองหน้าที่สามารถเก็บบอลแล้วใช้ความเร็วความคล่องแคล่วคอยพาบอลสวนกลับด้วยตัวคนเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงแบบนั้น ราเยวัชเขาคงจะต้องการสร้างรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนให้กับทีมชาติไทย แต่พอนักเตะของเราไม่สามารถทำได้ แดนกลางเก็บบอลไม่ได้ รูปแบบที่โค้ชต้องการมันก็เลยไม่เกิดขึ้น 

ผมมองว่าเกมที่เจอมาเลเซียเราเล่นเป็นรองเขาทั้ง 2 นัดทั้งเหย้าและเยือน โค้ชและผู้เล่นของมาเลเซียเขารู้เราแต่กลับกันเราแทบไม่รู้เขาเลย การผ่านบอลของมาเลเซียมีความแม่นยำและสปีดบอลดีมาก เขาเล่นกันเป็นกลุ่มได้ดี โดยเฉพาะเวลาอยู่ทางริมเส้น แล้วพอเราไม่มีการเพรส ไม่ไล่บอลตั้งแต่กลางสนาม วิงแบ็คของเขาก็เติมกันได้อิสระเลย และไม่ต้องพะวงเกมโต้กลับด้วย เพราะข้างหน้าเราเหลือผู้เล่นอยู่แค่ 1-2 คนเท่านั้น บุกขึ้นไปทีเจอมาเลย์ 5-6 คนแล้วเราจะไปผ่านเขาได้ยังไง เขาทำการบ้านมาแล้วว่าเราจะใช้ใครทำเกมรุกแบบไหน

จุดโทษที่ยิงไม่เข้านั่นก็แทบไม่ต้องพูดถึง เราน่าจะตกรอบไปแต่แรกแล้ว แต่เหมือนฟ้าบันดาลให้เรายังมีโอกาสครั้งสุดท้าย แต่ความกดดันมันสูงมากๆ ผมยังเห็นอยู่ว่า กอล์ฟ (อดิศักดิ์ ไกรษร) มีอาการกังวลปากสั่นมือสั่นไปหมด เพราะเขาไม่เคยต้องยิงลูกสำคัญแบบนี้ ผมยังแอบคิดนะว่า สุมัญญา, เฉลิมพงษ์ หรือ พรรษา น่าจะนิ่งกว่าทั้งวุฒิภาวะและประสบการณ์ แต่ก็โทษกอล์ฟไม่ได้ที่ยิงไม่เข้า ต้องชื่นชมเขามากกว่าที่กล้าออกมายิง เพราะลูกแบบนี้แทบไม่มีใครกล้าก้าวเท้าออกมาอาสายิงหรอกครับ 

 

คมกฤช นภาลัย

ผู้สื่อข่าวอาวุโสและคอลัมนิสต์ชื่อดัง

ฟุตบอลมันก็อย่างนี้แหละ แท็กติกของโค้ชแต่ละคนก็มีปรัชญาต่างกันไป มันไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าต้องเล่นเกมรุกแล้วจะชนะได้ทุกเกม แต่ผลลัพธ์มันคือตัวตัดสินถ้าเกิดได้แชมป์ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ถ้าแพ้ตกรอบมันก็คือความล้มเหลว มันไม่ได้เกี่ยวว่าโค้ชใช้แท็กติกแบบไหน มันอยู่ที่ผลลัพธ์ื อย่างตอนที่โย่ง (วรวุฒิ ศรีมะฆะ) ทำทีมได้แชมป์ซีเกมส์ครั้งล่าสุด ระหว่างทัวร์นาเม้นต์คนก็ด่าทุกเกมว่าเล่นไม่ดีไม่มีทรง แล้วไงล่ะแต่สุดท้ายเราเป็นแชมป์ นั่นก็ถือว่าสำเร็จตามเป้าหมายแล้วใช่มั้ย  

เรื่องแท็กติกหรือวิธีการเล่นผมไม่ขอวิจารณ์เพราะโค้ชคือคนที่อยู่ใกล้ชิดนักเตะที่สุด เขาย่อมรู้ดีว่าศักยภาพของผู้เล่นที่มีอยู่ในระดับไหนและต้องใช้งานอย่างไร เอาจริงๆ เราก็แทบจะเล่นเกมรับทุกนัดเลยนะ แม้กระทั่งนัดแรกที่เราชนะ ติมอร์ สกอร์มันดูขาดลอย (7-0) คนก็อาจจะมองข้ามไป แต่ในเกมนั้น ติมอร์ เองเขาก็มีโอกาสยิงเราหลายครั้งนะ หรืออย่างตอนเจอ ฟิลิปปินส์ และ มาเลเซีย เขาก็มีโอกาสยิงเราเยอะมาก แต่เขาไม่คมไปเอง ถ้าเขาคมซักหน่อยเราก็มีสิทธิ์เสียประตูเยอะกว่านี้อีก 

ผมไม่เห็นด้วยเลยกับการที่เราจะปลดโค้ชทุกครั้งที่ทีมไม่ประสบความสำเร็จ อย่างพอตอนนี้ทีมตกรอบแฟนบอลก็พากันไปเรียกร้องหา ซิโก้ ให้กลับมาอีก สมาคมควรจะแสดงความชัดเจนให้แฟนบอลเข้าใจแต่แรกว่าเป้าหมายของเราคืออะไร และให้โค้ชทำงานให้จบตามภารกิจนั้นๆ หลายครั้งการออกมาให้สัมภาษณ์ของนายกสมาคมก็กลายเป็นการล่อเป้าตอกย้ำให้คนยิ่งด่ากันไปใหญ่ โค้ชไทยพอถูกกระแสกดดันจากแฟนบอลมากๆ เข้าสมาคมก็ไปปลดเขาออกหมด โค้ชต่างชาตินายกออกมาปกป้องแต่โค้ชไทยกลับบอกว่าอับอาย อย่างตอนที่เราแพ้ญี่ปุ่น 0-4 นายกบอกว่าอายรับไม่ได้ แต่การที่เราไม่ชนะ ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย แล้วตกรอบอาเซียนนี่มันยิ่งน่าอับอายมากกว่ามั้ย 

ผมอยากให้เลือกใช้งานคนที่มีความรู้ความสามารถเป็นนักฟุตบอลทีมชาติในอดีตเข้ามาช่วยกันทำงาน มีกลุ่มนักเตะหลายคนที่เขารักสามัคคีไม่ขัดแข้งขัดขากันเอง บางคนก็มีความรู้มีประสบการณ์ จบถึงระดับด็อกเตอร์ก็มี เข้ามาเป็นกรรมการบริหารสมาคม ดีกว่าเอาคนที่ไม่รู้เรื่องฟุตบอลเลยมาทำงาน 

สมาคมประกาศเอาไว้ว่าจะไปฟุตบอลโลกให้ได้ แต่ผมยังมองไม่เห็นว่าสมาคมกำลังทำอะไรเพื่อจะไปฟุตบอลโลกเลย เราไม่ต้องไปเทียบกับ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ หรือ ออสเตรเลีย เพราะยังไงเราก็ไล่เขาไม่ทันในเร็วๆ นี้อยู่แล้ว ทีมที่เหลือที่เราต้องวัดคือทีมอะไร ก็พวกเกาหลีเหนือ, จีน, อุซเบกิสถาน, ตะวันออกกลาง อีกตั้งหลายทีมที่เรายังพอลุ้นเบียดกับเขาได้ เราต้องเจอทีมพวกนี้บ่อยๆ ไม่ใช่ไปอุ่นเครื่องกับเนปาล หรือฮ่องกง นอกจากแต้มฟีฟ่าแล้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย แล้วเราจะหวังไปบอลโลกได้ยังไง 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด