:::     :::

'เป๊ป' แตกทัพเรือ

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
4,577
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในที่สุด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ถึงคราวพุ่งชนความพ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีก หยุดสถิติไร้พ่ายไว้ที่ 15 เกม

ถึงแม้ว่าจะเป็นเกมแรกในฤดูกาลนี้ แต่มันก็เพียงพอที่พวกเขาจะเสียตำแหน่งจ่าฝูงของตารางให้กับ ลิเวอร์พูล ที่มีแต้มเหนือกว่าหนึ่งคะแนนพร้อมเป็นทีมเดียวในลีกที่ยังรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ได้อยู่

แม้ว่า เชลซี จะอยู่ในช่วงพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก แต่ด้วยความที่เป็น "เชลซี", เป็นทีมใหญ่ประจำลีก, ศักยภาพนักเตะไม่ได้เป็นรองทีมไหน, การได้เล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ไม่ถือว่าแปลกอะไรที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะมือเปล่ากลับบ้าน

เพียงแต่ด้วยฟอร์มการเล่นล่าสุด รวมถึงผลงานที่ผ่านมาตลอดฤดูกาลนี้มันฟ้องว่าทัพ "เรือใบ" คงไม่น่าจะถึงกับต้องปราชัย

ถือเป็นเกมที่สองที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิงประตูในลีกไม่ได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยเสมอกับ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ (แบบน่าชนะ) ด้วยสกอร์ 0-0 มาแล้วเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม

การขาด เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" เริ่มส่งผลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจอกันคู่แข่งที่เขี้ยวลากดินในระดับใกล้เคียงกัน หลังจากที่เอาชนะ บอร์นมัธ และ วัตฟอร์ด มาได้ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่ไม่อาจจะวัดกันได้


ถามว่าเกมที่ลอนดอน "เรือใบ" เล่นได้แย่รึเปล่า ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ พวกเขามีโอกาสมากกว่า, ครองบอลเหนือกว่า, ได้เตะมุมเยอะกว่าชนิด 13 ต่อ 1 ครั้ง เพียงแต่ไม่อาจจะส่งบอลสู่ก้นตาข่ายไปได้

ความพ่ายแพ้ในเกมนี้นอกจากจะโดน ลิเวอร์พูล แซงไปแล้ว ก็ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้ง สเปอร์ส, เชลซี และ อาร์เซน่อล กลับมามีความหวังในการลุ้นแชมป์มากขึ้น 

แม้ เป๊ป จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทีมจะไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล รวมถึงยามลงสนามคู่แข่งที่ต่อกรด้วยก็ใคร่อยากจะโค่นทีม "แชมป์เก่า" ด้วยกันทั้งนั้น

แต่ต้องยอมรับว่าเกมนี้มีจุดผิดพลาดของทางฝั่งสีฟ้าจากแมนเชสเตอร์เหมือนกันทั้งในเรื่องปัญหาตัวผู้เล่น, การจัดทีมของเทรนเนอร์ชาวสเปน และ ความผิดพลาดส่วนบุคคลในเกม ซึ่งลองดูกันว่าสาเหตุที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องพบกับความปราชัยเป็นเกมแรกในลีกมาจากสาเหตุอะไร

กองหน้าตัวเป้าที่ชื่อ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง


ในช่วงสองเกมในพรีเมียร์ลีกก่อนหน้านี้กับการไม่มี เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน", เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่พลาดที่จะให้ กาเบรียล เชซุส ที่เป็นกองหน้าธรรมชาติรับหน้าที่เป็นหัวหอกประจำทีม

แม้ว่าในซีซั่นนี้สตาร์ทีมชาติบราซิลจะมีปัญหายิงประตูได้น้อย แต่หลังจากที่ แอสซิสต์ให้ ริยาด มาห์เรซ พังประตูได้ในเกมกับ วัตฟอร์ด น่าจะพอเรียกความมั่นใจขึ้นมาได้

แต่กับเกมที่ถือว่าเป็นหนึ่งในนัดสำคัญที่สุดของฤดูกาลนี้ เทรนเนอร์ชาวสเปนกลับเลือกให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ขึ้นไปยืนเป็นกองหน้า โดยมี เลรอย ซาเน่ และ ริยาด มาห์เรซ ปั้นเกมรุก ส่วน กาเบรียล เชซุส นั่งอยู่ข้างสนาม

แม้ว่า สเตอร์ลิ่ง จะมีความคล่องตัว มีทักษะดี แต่ที่ขาดไปอย่างแน่นอนก็คือความแข็งแกร่ง แถมบ่อยครั้งยังถ่างออกมาเล่นทางริมเส้นด้วย

                

แน่นอนว่าระบบการเล่นนี้เป็นแผนเดียวกับทาง เชลซี ที่เกมนี้วาง เอแด็น อาซาร์ เป็น "ฟอลส์ ไนน์" แต่สตาร์ชาวเบลเยี่ยมทักษะไม่เป็นรองหรืออาจจะเหนือกว่า รวมถึงความแข็งแกร่งที่ไปกับบอลได้ดีกว่าแน่นอน

เข้าใจว่าเสียดาย เลรอย ซาเน่ รวมถึง ริยาด มาห์เรซ ที่กำลังเล่นได้ดี แต่เมื่อทั้งสามนักเตะมีสไตล์คล้ายกัน เมื่อ สเตอร์ลิ่ง ขยับออกมารับบอลด้านข้างก็ไม่มีตัวอยู่ตรงกลางให้เข้าทำ

สตาร์ทีมชาติอังกฤษไม่ได้เล่นแย่ ป่วนทาง มาร์กอส อลอนโซ่ ได้ดีด้วยซ้ำ เพียงแต่การออกมานอกพื้นที่ของตัวเองบ้างครั้งก็ทำให้ทีมเสียโอกาสไป

คงบอกไม่ได้ว่า กาเบรียล เชซุส ลงมาแล้วจะทำได้ดีกว่า แต่อย่างน้อยก็จะมีกองหน้าตัวเป้าปักหลักไปเลยดีกว่า

ความผิดพลาดของ เลรอย ซาเน่

        

เกิดอะไรขึ้นกับ เลรอย ซาเน่ ในฤดูกาลนี้?

คงเป็นคำถามที่ตอบได้ยากว่าทำไมนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2017/18 ถึงกลายเป็นนักเตะที่ขาดความสม่ำเสมออย่างรุนแรงจากฟอร์มการเล่น

ไม่มีใครคาดคิดว่าการหลุดจากทีมชาติเยอรมันชุดลุยฟุตบอลโลก 2018 จะทำให้สภาพจิตใจของ ซาเน่ ย่ำแย่อย่างที่สุด ถึงขนาดที่ช่วงต้นฤดูกาลนี้ เป๊ป ต้องออกมากระตุ้นจนกลับมาอยู่กับร่องกับรอยจนได้

แต่ในเกมกับ เชลซี เป็นอีกนัดที่สตาร์ทีมชาติเยอรมันผิดพลาดจนทำให้ทีมพ่ายแพ้

สร้างสรรค์เกมไม่ได้, เสียบอลง่าย, เลี้ยงไม่ผ่าน, เอาชนะคู่แข่งไม่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการพลาดโอกาสทองในการทำประตูให้ทีมขึ้นนำในช่วงครึ่งหลังโมงที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง พาบอลหลุดมาทางขวาก่อนไหลมาที่ ซาเน่ วิ่งมาแปเน้นๆแต่ติดขา เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ออกหลังไป


จังหวะนี้ถือเป็นช็อตสำคัญเพราะด้วยทักษะของ ซาเน่ หากดึงจังหวะหลอกแบ็คชาวสเปนที่พุ่งมาแล้วต้องหลงไปแน่นอน แต่เมื่อยิงสุดท้ายก็เลยกลายเป็นติดบล็อค

เมื่อยิงไม่ได้สุดท้ายโดน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ สอยตาข่ายในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรกกลายเป็นทีมตามหลังก่อนพักเบรกไป

นี่ยังไม่รวมถึงจังหวะที่โดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงต้นครึ่งหลังนาทีที่ 53 เอา กาเบรียล เชซุส ลงมาแทนนั้น ซาเน่ แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนแถมเดินออกมาจากสนามไม่จับมือกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อีกด้วย

แบบนี้ถ้าเกมถัดไปโดนดร็อปเป็นสำรองก็คงไม่ต้องสงสัยกัน

ปัญหาในตำแหน่งแบ็คซ้าย

                

การขาดแบ็คซ้ายตัวจริงอย่าง เบงฌาแม็ง เมนดี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องยกเอามาวิจารณ์อะไร หากว่าในเกมนี้คู่แข่งไม่ใช่ เชลซี 

ที่ผ่านมายามไม่มีแบ็คชาวฝรั่งเศสลงสนาม ฟาเบียน เดลฟ์ หรือ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ก็ลงเล่นแทน แต่เมื่อคู่แข่งเป็น "สิงห์บลูส์" ที่มีเกมริมเส้นอันตราย การจัดการย่อมเป็นอะไรที่แตกต่าง

ซึ่งความจริงที่ผ่านมาฟอร์มของทั้งคู่ต้องบอกว่าความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ

จริงอยู่ที่การครอบครองเกมส่วนใหญ่แทบจะเป็นของทางฝั่ง "เรือใบสีฟ้า" เกือบตลอด แต่เมื่อเกมรุกขาดการสนับสนุนที่ดีก็ย่อมทำให้ประสิทธิภาพของทีมถูกลดทอนลงไป ยังไม่รวมเกมรับที่เจอ เปโดร กับ เอแด็น อาซาร์ ปั่นป่วนจนเสียคนไปเหมือนกัน


ด้วยการที่เป็นทีมเล่นเกมรุกอยู่เสมอทำให้เกมรับไม่ค่อยถูกจับตามองเท่าไรนักเหมือนกับ บาร์เซโลน่า แต่การเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงไม่ใช่แค่ในลีก ยังรวมถึงในบอลยุโรปก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเกมรับพวกเขาก็มีปัญหาเหมือนกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้แบ็คจำเป็นอย่าง เดลฟ์ หรือ ซินเชนโก้ ลงสนาม

ถือเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนของทีมที่อาจจะบอกได้ว่าใหญ่ที่สุดเมื่อศักยภาพของตัวสำรองยังไม่อาจทดแทนตัวจริงได้ และมันอาจจะเป็นอีกจุดที่คู่แข่งคงได้เห็นแล้วอาจจะใช้มันมาเล่นงานพวกเขาในอนาคต


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด