:::     :::

อดีตทีมชาติวิเคราะห์"ช้างศึก"ลุยเอเชียนคัพ

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
3,617
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
มุมมองวิเคราะห์วิจารณ์ "ช้างศึก" จากคนในแวดวงลูกหนังโดยเฉพาะเหล่าอดีตแข้งทีมชาติที่ส่วนใหญ่วิพากษ์ตรงกันว่า เอเชียน คัพ 2019 ทีมชาติไทยจะมีผลงานที่ดีกว่า เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2019 ด้วยศักยภาพตัวผู้เล่นที่กลับมาจากต่างแดน รวมไปถึงแท็กติกที่ต้องเปลี่ยนไปของ มิโลวาน ราเยวัช ส่วนรายละเอียดคำวิจารณ์จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ติดตามกันได้เลย


ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล

อดีตกองกลางทีมชาติไทย

ผมก็เอาใจช่วยให้ ปีโป้ (สิโรจน์ ฉัตรทอง) เขาเรียกฟอร์มเก่งกลับมาให้ได้นะ เพราะเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจมากๆ ปีที่แล้วเขาโชคร้ายย้ายมาเล่นแค่เกมสองเกมก็บาดเจ็บ เลยไม่ค่อยได้ลงเล่นเท่าไหร่ ถามว่าผมคาดหวังในตัวเขามั้ย จริงๆ ผมก็คาดหวังในตัวผู้เล่นทุกคนที่เรามีอยู่แล้วเพราะทุกคนก็ต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งตำแหน่ง ในทีมชาติไทยก็เหมือนกัน ราเยวัช เขาก็คงต้องการให้ผู้เล่นทุกคนที่เคยหลุดแล้วถูกเรียกกลับมาติดทีม พิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเล่นให้ทีมของเขา

ผมมองว่าจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ทีมชาติไทยกลับมาทำผลงานได้ดีในเอเชียนคัพ มาจาก 4 ผู้เล่นที่กลับมาจากต่างประเทศนั่นแหละ เพราะทุกคนเลยเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละตำแหน่งที่เรายังขาดไป อย่าง ธีรศิลป์ เขาเป็นผู้เล่นที่มีมิติสามารถสร้างโอกาสทำประตูได้เองและยังเชื่อมเกมสร้างสรรค์เกมรุก มีเกมพาสซิ่งที่ดี สามารถจ่ายทะลุช่องให้เพื่อนได้ หรืออย่าง ชนาธิป เราก็รู้อยู่แล้วว่าเวลาบอลอยู่ที่เขา เขาสามารถเลี้ยงขึ้นไปข้างหน้าที่กรอบเขตโทษ และดึงคู่ต่อสู้ให้ไปตามประกบเขาได้ ทำให้คนอื่นๆ ยืนว่างและมีลุ้นทำประตูได้มากขึ้น ส่วน ธีราทร ก็มีชั้นเชิงในการเล่นเกมรุกริมเส้นมากกว่าทุกคน และยังสามารถเล่นร่วมกับ ชนาธิป หรือ ธีรศิลป์ ได้ดีด้วย 

ฟุตบอลมันก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ในแต่ละเกมอีกมากมาย แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ราเยวัช เขาน่าจะคิดแท็กติกที่เหมาะกับการใช้งานในเอเชียนคัพเอาไว้แล้ว อาจจะไม่เหมือนกับในซูซูกิ คัพก็ได้ เพราะตัวผู้เล่นของเรามีศักยภาพที่สูงขึ้น วิธีการเล่นมันก็ต้องต่างออกไป คงจะไม่รับลึกขนาดนั้น และเวลาสวนกลับก็คงต้องใช้ผู้เล่นในเกมรุกมากกว่าเดิม หรือาจจะสั่งให้ลูกทีมเพรสซิ่งในแดนกลางมากกว่าเดิมเพื่อให้เพลย์เมกเกอร์ของคู่แข่งเล่นยากอย่างเช่นของ ยูเออี (โอมาร์ อับดุลเราะห์มาน) เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเกมของเขาขับเคลื่อนด้วยตัวนี้ ซึ่งเราน่าจะเก็บได้สัก 4 แต้มเพื่อเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ได้ไม่ยากนัก



ธงชัย สุขโกกี

อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทย

ผมตั้งข้อสังเกตว่าผู้เล่นที่ถูกถอดออกไปเป็นตัวริมเส้นแทบทั้งหมด มีแค่ มานูเอล ทอม เบียร์ห์ ที่เป็นเซ็นเตอร์แต่ถูกถอดก็เพราะบาดเจ็บ แล้วที่เรียกเข้ามาใหม่ก็แทบไม่มีปีกอาชีพเลย ทำให้ผมเชื่อว่า ราเยวัช เขาจะเปลี่ยนแท็กติกการเล่นแน่ๆ จากเดิมที่ใช้ 4-5-1 ก็อาจจะเป็น 3-5-2 หรือ 4-4-2 ไดมอนด์ เป็นระบบที่ไม่ต้องใช้ปีก 

ซึ่ง 4 คนที่ไปเล่นต่างประเทศที่เพิ่มเข้ามา ด้วยศักยภาพของพวกนี้ถือว่าสามารถยกระดับทีมได้ ในชุดซูซูกิ คัพ เราไม่มี ธีรศิลป์ (แดงดา) ที่สามารถพักบอลเก็บบอลจ่ายบอล ใช้ความสามารถเฉพาะตัวหาจังหวะเข้าไปยิงประตูเองได้ หรือคอยเชื่อมบอลกับคนอื่นๆ ในแดนกลาง ในขณะที่ อดิศักดิ์ (ไกรษร) เขาเป็นสไตล์พุ่งไปข้างหน้าและรอเข้าฮอร์สมากกว่า เราไม่มีคนที่ทะลุทะลวงได้แบบ ชนาธิป (สรงกระสินธุ์)ที่สามารถเลี้ยงกินตัว หรือพาบอลขึ้นไปทำประตูได้ด้วยตัวคนเดียว ตัวที่เรามีอย่าง สรรวัชญ์, ฐิติพันธ์ หรือคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครเล่นในสไตล์นี้ได้เลย ส่วนริมเส้นเราก็ไม่มีคนที่เล่นได้อย่างมีมิติหลากหลายอย่าง ธีราทร (บุญมาทัน) รวมไปถึงผู้รักษาประตู กวินทร์ เองก็มีประสบการณ์เล่นกับคนต่างชาติที่ตัวสูงใหญ่ การออกมาตัดบอลลูกกลางอากาศก็ย่อมดีกว่า

สำหรับปีโป้ (สิโรจน์ ฉัตรทอง) ผมยังไม่รู้นะว่าสถาพร่างกายเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า เพราะเขาเจ็บพักไปนาน แต่ถ้ายังแข็งแรงเหมือนเดิม ระบบการหายใจ ระบบความยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ ยังเหมือนเดิม เขาก็จะเป็นผู้เล่นในสไตล์ที่แตกต่างออกไปจากที่เรามี และสามารถวิ่งบดกับกองหลังคู่ต่อสู้ให้ยวบได้ ยิ่งถ้าส่งลงไปเล่นช่วงท้าย เขาจะได้เปรียบคู่ต่อสู้มาก และเราอาจจะเรียกฟรีคิกระยะหวังผลจากเขาได้ คือโค้ชอาจจะไม่ได้คาดหวังเรื่องการทำประตูจาก ปีโป้ แต่เขาจะมีประโยชน์ในการทำให้ผู้เล่นคนอื่นๆ สามารถลุ้นทำประตูได้

ผมจึงมองว่าผลงานของทีมชาติไทยในเอเชียนคัพ จะดีขึ้นกว่า ซูซูกิ คัพ มาก เพราะคู่แข่งร่วมกลุ่มก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากด้วย อย่างน้อยๆ ก็ควรมีสัก 4 แต้ม และน่าจะเพียงพอต่อการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย


สะสม พบประเสริฐ

อดีตกองกลางทีมชาติไทย

ผมยังมองว่าการตั้งเป้าเข้าแค่รอบน็อคเอาท์ มันไม่ค่อยแฟร์กับโค้ชไทยเท่าไหร่ แม้ที่ผ่านมาเราตกรอบแรกมาตลอด แต่ลองไปดูทีมที่ร่วมกลุ่มดู นี่คือกลุ่มที่เบาที่สุดตั้งแต่ไทยแข่งเอเชียนคัพมา แล้วเอาเข้ารอบตั้ง 3 ทีม (อันดับ 1, 2 และ อันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีมจาก 6 กลุ่ม) จะมีหนักหน่อยก็ ยูเออี ที่เขาเป็นเจ้าภาพ แต่บาห์เรน หรือ อินเดีย ก็ไม่ได้เหนือกว่าเรา จึงน่าจะตั้งเป้าไว้ว่ารอบ 8 ทีมสุดท้ายน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะรอบ 16 ทีมมันควรจะต้องเข้าได้อยู่แล้ว การเข้ารอบมันก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่อดีตนักเตะทีมชาติอย่างพวกผมหรือแฟนบอลต้องการเห็นก็คือวิธีการเล่นที่ทำให้เห็นว่าเรามีการพัฒนาในเรื่องแท็กติคอล ไม่ใช่เอาแค่ตั้งรับไม่ให้เสียประตูอย่างเดียว

แน่นอนล่ะว่าพอเราได้ 4 คนที่ไปเล่นอาชีพต่างแดนกลับมา ก็เหมือนว่าโค้ชสามารถหยิบจับผู้เล่นที่มีศักยภาพสูงขึ้นมาใช้งานได้ ผลงานมันก็ต้องดีขึ้น และแท็กติกก็อาจต้องเปลี่ยนไป ผมยังเชื่อว่า ราเยวัช จะยังเน้นเกมตั้งรับและสวนกลับเหมือนเดิม เพราะปรัชญาวิธีการทำทีมของเขามันมีพื้นฐานแบบนั้น แต่วิธีการโต้กลับอาจจะหลากหลายมากขึ้น โดยใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นเรามากขึ้น เรามี ชนาธิป ที่ลากขึ้นมาเองได้ ธีรศิลป์ ก็สามารถพิงกับกองหลังแล้วพลิกเข้าไปยิงประตูได้ ห่วงแค่ว่าเราอย่าไปรับลึกเกินไป เพราะเวลาบุกสวนขึ้นมานักเตะของเราต้องใช้พละกำลังค่อนข้างมากจนอาจจะหมดแรงก่อนได้ 

ส่วนเคสของ ปีโป้ นั้น ผมว่าก็โอเคนะ เพราะโค้ชเขาคงต้องเปลี่ยนแท็กติกการเล่นแน่ๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็น 3-5-2 ถึงแม้เรายังไม่เคยเห็นเขาเล่นกองหลัง 3 ก็เถอะ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับตัวผู้เล่นที่เรามีตอนนี้ที่สุดแล้ว คือการเลือกแท็กติกต้องเลือกให้เข้ากับผู้เล่นที่มี ไม่ใช่ยึดไว้แท็กติกเดียวแล้วจับผู้เล่นมาใส่ ซึ่งการมีผู้เล่นอย่าง ปีโป้ เข้ามา ราเยวัช เขาก็คงต้องการเรื่องการเอาชนะด้วยสรีระร่างกาย เพราะในชุดซูซูกิ คัพ เราขาดผู้เล่นแบบนี้ไป แล้วในระดับเอเชีย ทีมร่วมกลุ่มเราก็ไม่ได้ร่างกายแข็งแกร่งอะไรมากมาย ปีโป้ เขาน่าจะอาศัยความได้เปรียบเรื่องความใหญ่เข้าไปเรียกเอาฟาวล์ได้


วรวุฒิ ศรีมะฆะ

อดีตกองหน้าทีมชาติไทย

ผมโอเคกับการที่ ราเยวัช เรียก ปีโป้ หรือ พีระพัฒน์ (โน๊ตชัยยา) กลับมาติดนะ คือพอจะเดาใจได้ว่าคงจะไม่ใช้ระบบปีกแล้ว เพราะเขาตัดปีกออกไปหมดเลย แล้วกองหน้าตอนนี้ก็มีแค่ ธีรศิลป์ กับ อดิศักดิ์ ไกรษร แต่ก็อาจเกิดคำถามขึ้นมาได้อีกว่าแล้วทำไมไม่เรียก ลีซอ (ธีรเทพ วิโนทัย) หรือ สุระชาติ สารีพิมพ์ ล่ะ โค้ชเขาก็คงมองว่าใครที่เคยร่วมงานกันมาและทำความเข้าใจเรื่องแท็กติกได้เร็ว ปีโป้เป็นกองหน้าในสไตล์ที่แตกต่างจากที่มีทั้งหมด เขาก็ต้องการความหลากหลายของตัวผู้เล่น ส่วนพีระพัฒน์ ถ้าเราดูจากซูซูกิ คัพ ก็ถือว่าที่มีอยู่เดิมยังไม่ดีมากเท่าไหร่ กรกช (วิริยะอุดมศิริ) อาจจะมีลูกฟรีคิกที่ดี แต่ในเรื่องเกมรับก็ยังไม่ใช่นะ ราเยวัช เขาก็คงมองเห็นตรงนี้แหละ

4 คนที่เข้ามาเติมในชุดเอเชียนคัพ คือการเติมเต็มในสิ่งที่ทีมยังขาด เป็นการเสริมจุดแข็ง และสามารถสร้างความแตกต่างได้ทั้งหมด คือถามว่าถ้าไม่มี 4 คนนี้แล้วทีมชาติไทยจะเล่นไม่ได้เลยหรือ จริงๆ ก็เล่นได้แหละแต่ถ้ามีมันก็ดีกว่า ในจังหวะสำคัญของเกม ผู้เล่นเหล่านี้นี่แหละที่จะสร้างจุดเปลี่ยนให้ทีมได้ เขาเรียกว่าแมตช์วินเนอร์ ก็เหมือนที่คนสงสัยว่าทำไมผมถึงเลือกเจนรบ (สำเภาดี) คือผู้เล่นอย่างนี้นี่แหละที่จะยิงประตูสำคัญในเวลาที่เราต้องการได้ เหมือนอย่างตอนซีเกมส์ ที่เขาทำได้นั่นแหละ

สำหรับ เอเชียนคัพ ผมมองว่าการตัดเกรดเขาแค่เข้ารอบน็อคเอาท์มันง่ายเกินไปหน่อยนะ ที่ผ่านมาเราไม่เคยเข้ารอบเพราะทีมมันน้อยกว่านี้ ครั้งนี้เขาเพิ่มทีมเข้ารอบสุดท้ายมาเป็น 24 ทีม แต่ก่อนคู่แข่งอย่าง บาห์เรน หรือ อินเดีย เราจะได้เจอก็แค่ในรอบคัดเลือก ไม่ค่อยได้เข้ามาเตะรอบสุดท้ายหรอก แล้วเจ้าภาพอย่าง ยูเออี เขาก็จัดให้เรามาอยู่ในสายที่เบาที่สุดในทัวร์นาเม้นต์เลย ดังนั้นการเอา 3 ทีมเข้ารอบ ก็ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรง แต่ก็ประมาททุกทีมไม่ได้เหมือนกัน เพราะค่อนข้างจะสูสีกันหมด ผมมองว่าเราสามารถทำได้ตั้งแต่ 3-9 คะแนนได้เลยในรอบแบ่งกลุ่ม


ธรากร เขยนอก

อดีตกองหลังเยาวชนทีมชาติไทย

ตอนนัดที่เจอ มาเลเซีย ที่เราตกรอบซูซูกิ คัพ ทำให้ผมนึกถึง ปีโป้ นะ ผมคิดว่าในเกมนั้นถ้าเรามีปีโป้ จะเข้าทางเรามากเลย เพราะเขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเข้าไปชนกับกองหลังของ มาเลย์ ให้กระเด็นกระดอนได้ หรืออย่างน้อยก็อาจเรียกฟาวล์เพื่อหวังลูกฟรีคิก วันนั้นเรามี อดิศักดิ์ ไกรษร กับ ศุภชัย ใจเด็ด ซึ่งแรงปะทะไม่ได้เปรียบ กองหลังเขาก็รับมือง่าย อดิศักดิ์ แทบจะเก็บบอลในแดนหน้าไม่ได้ ส่วน ศุภชัย ก็โอเคในเรื่องการเก็บบอล แต่การทะลุทะลวงด้วยพละกำลังนั้นยังไม่มี  

ซึ่งนั่นแหละผมเลยคิดว่า ราเยวัช เขาน่าจะเห็นตรงนี้ว่าในระดับเอเชีย ร่างกายที่แข็งแกร่งของ ปีโป้ สามารถสร้างประโยชน์ให้ทีมได้ เขาคงไม่ได้เอาไปใช้เป็นตัวจริงหรอก แต่แค่ 15-20 นาทีก็น่าจะเห็นผลได้

สำหรับเอเชียนคัพ ถามว่ามันยากกว่าซููซูกิ คัพ เยอะมั้ย ก็แน่นอนล่ะว่าคู่แข่งอย่าง ยูเออี หรือ บาห์เรน ความเฉพาะตัวเขามาเปรียบเทียบกับทีมในอาเซียนไม่ได้อยู่แล้ว แต่การที่เรามี 4 ผู้เล่นกลับมา โดยเฉพาะ ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ที่ตอนนี้เขากำลังมีความมั่นใจ ยิ่งฤดูกาลล่าสุดเขาทำผลงานได้ดีด้วย ถ้าเขาได้เล่นในแท็กติกที่ใช้ศักยภาพของเขาได้เต็มที่ก็จะมีประโยชน์กับทีมมาก ซึ่งพอได้มาเล่นกับ ธีรศิลป์ หรือ ธีราทร ทีมชาติไทยก็สามารถสร้างความเกรงขามให้คู่ต่อสู้ได้ ที่เขาจะต้องคอยระมัดระวังผู้เล่นเหล่านี้ของเรา ทำให้คนอื่นมีโอกาสมากขึ้น 

ผมเชื่อว่าทีมชาติไทยจะเข้ารอบน็อคเอาท์ได้ไม่ยาก คือ 3 แต้มก็อาจจะพอแล้วด้วยซ้ำ หรืออาจจะ 4 คะแนน แต่เป้าหมายแค่ 3 แต้มนั้นคงจะน้อยเกินไป เพราะเราควรต้องชนะในเกมที่เราควรชนะ ซึ่งทุกคนก็มองตรงกันว่าเป็นเกมแรกกับอินเดีย แต่ถ้านัดกับ บาห์เรน และ ยูเออี เราเก็บแต้มไม่ได้เลย ถึงผ่านเข้ารอบไปได้ก็ไม่ได้ถือว่าน่าพอใจหรอก 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด