:::     :::

แชร์กึ๋นคนลูกหนัง : เหตุใด "เจ ชนาธิป" ถึงยิ่งใหญ่ในเจลีก

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
24,093
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชั่วโมงนี้คงไม่มีนักเตะไทยคนใดที่ประสบความสำเร็จมากไปกว่า ชนาธิป สรงกระสินธุ์ อีกแล้วกับผลงานที่ยอดเยี่ยม จนถูกเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยม "Best 11 of J League 2018" น่าเหลือเชื่อหรือไม่ที่ "ชนาคุง" ใช้เวลาเพียง 18 เดือนกับการจารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ อะไรคือตัวแปรสำคัญ และในอนาคตการไปค้าแข้งลีกระดับยุโรป วันนี้ผมจึงขอนำความคิดเห็นของคนในวงการฟุตบอลที่เคยร่วมงานกับเจ้าตัวมาช่วยเป็นคำตอบให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้นไป


วิทยา เลาหกุล 

อุปนายกฝ่ายเทคนิคสมาคมฟุตบอลฯ

ชนาธิปเขาเป็นผู้เล่นที่มีคุณภาพอยู่แล้ว ดังนั้นเขาไปเล่นที่ไหนก็ได้ เขามี Technical Agility คือเทคนิคความคล่องตัวที่ผู้เล่นชั้นยอดจำเป็นต้องมี ถามว่าเกินคาดมั้ยที่เขาประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ก็ยอมรับว่าเกินคาดนิดหน่อย ผมเชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จอยู่แล้วเพราะสไตล์ของชนาธิป เป็นสไตล์ที่ผู้เล่นญี่ปุ่นไม่มี ดังนั้นเขาจึงสร้างความแตกต่างให้ทีมได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำได้ถึงขนาดติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล เพราะต้องเป็นคนเก่งและเป็นที่ยอมรับจริงๆ เขาถึงจะให้ติดทีมยอดเยี่ยมได้

สำหรับปีหน้า ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าเขาจะถูกจับตามองมากขึ้นทั้งจากคู่แข่ง และแมวมองที่มาดูฟอร์มผู้เล่นในเจลีก แต่ละทีมจะต้องศึกษาวิธีการรับมือเขามากขึ้น แต่ผมก็ยังเชื่อว่าการจะหยุดชนาธิปไม่ให้มีส่วนร่วมกับเกมมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาเล่นได้หลากหลาย และเป็นคนที่เล่นบอลได้น่ากลัว ถ้าโค้ชยังเป็นคนนี้ (มิไฮโล เปโตรวิช) ผมก็เชื่อว่าชนาธิปจะยิ่งแสดงศักยภาพออกมาได้มากขึ้น เพราะเขาเป็นโค้ชที่เก่งและมีประสบการณ์ในเจลีกสูงที่สุดแล้ว เราอาจจะได้เห็นการพยายามทำประตูมากขึ้น อยู่ที่ชนาธิปเองแล้วว่าจะเป็นผู้้เล่นที่เห็นแก่ตัวได้มากแค่ไหน เห็นแก่ตัวของผมในที่นี้คือ การพัฒนาตัวเองและมีความทะเยอทะยานเพื่อให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของทีมมากขึ้น ซึ่งคนที่เป็นเพลย์เมกเกอร์ต้องมีสิ่งนี้ 

ส่วนการไปเล่นยุโรป ผมอยากเห็นเขาไปเล่นที่เยอรมันนะ มันเป็นอะไรที่น่าลอง แต่ถ้าที่อังกฤษคงไม่เหมาะ เพราะสรีระของเขาอาจเป็นอุปสรรคกับสไตล์การเล่นที่อังกฤษ จริงๆ ที่เยอรมันก็ยากเหมือนกัน แต่ขอให้ไปเถอะ จะโปรตุเกส หรือเนเธอร์แลนด์ ผมก็อยากให้เขาลองไปเล่นดู เขามีคุณภาพและความกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นผมเชื่อว่าไปเล่นที่ไหนเขาก็เอาตัวรอดได้หมดทั้งนั้นครับ


ธัญญะ วงศ์นาค

ผู้จัดการทีมโปลิศ เทโร

ครั้งหนึ่ง (ปี 2014) ทีมของเราเคยคว้า ไดกิ อิวามาสะ อดีตกองหลังทีมชาติญี่ปุ่นมาร่วมทีม ซึ่ง ไดกิ เนี่ยเขาเป็นวันแมนคลับ คือเล่นให้ทีมเดียวมาอย่างยาวนาน (คาชิมาร์ อันท์เลอร์ 2004-2013) ไม่เคยย้ายไปไหนเลย แต่เขาตัดสินใจมาอยู่กับเรา 1 ปี เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ ก่อนที่จะกลับไปเล่นในระดับลีกล่างๆ ของญี่ปุ่น แล้วค่อยเบนเข็มไปเป็นโค้ช ตอนที่เขามาอยู่กับเรา ก็ช่วยกันพาทีมคว้าแชมป์โตโยต้า ลีก คัพ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จ ซึ่งเกมนั้นคือแมตช์อำลาทีมของเขา หลังจบเกมเขาขอถ่ายรูปกับนักเตะแค่ 3-4 คนก็มี ชนาธิป, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม และ พีรพัฒน์ โน๊ตชัยยา แล้วก็บอกว่านักเตะเหล่านี้มีศักยภาพที่จะพัฒนาขึ้นไปได้อีกไกล และจะเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมของเราและทีมชาติไทยไปอีกนาน 

เราโชคดีมากที่ได้ ไดกิ มาร่วมทีมในตอนนั้นเพราะเขามีความเป็นผู้นำ และมีอิทธิพลกับคนอื่นๆ สูงมาก ซึ่งเขาก็ให้คำแนะนำนักเตะทุกคนรวมถึง ชนาธิป ตลอด โดยเฉพาะ ชนาธิป ตั้งแต่ตอนที่ไปทดสอบกับ ชิมิสึ เอสพัลส์ แต่ตอนนั้นเขาก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่ และก็ต้องยอมรับด้วยว่าด้วยความเป็นทีมพันธมิตรกัน เราจึงส่ง ชนาธิป ไปทดสอบที่นั่น ไม่ใช่การที่เขามาสนใจนักเตะเราจริงๆ จนมาถึงช่วงที่ไปอยู่เมืองทอง และเขาทำผลงานได้ดีกับทั้งในลีก, ในถ้วยเอซีแอล และกับทีมชาติไทย นั่นแหละ เขาได้ MVP แทบทุกรายการจนมีทีมญี่ปุ่นมาสนใจเขาเอง 

ผมว่านอกเหนือจากพรสวรรค์, ความมุ่งมั่น และการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่เอาใจใส่เป็นอย่างดีแล้ว เขาโชคดีที่ได้รับโอกาสจากโค้ชแทบทุกคนที่ร่วมงาน ถามว่าเขาเจอโค้ชที่ใช่หรือเปล่า ก็ไม่ได้ใช่ทุกคนหรอก แต่เมื่อเขาได้ัรับโอกาสลงเล่นเขาก็ไม่เคยทำให้โค้ชคนไหนผิดหวัง จังหวะชีวิตและโชคชะตาหลายๆ อย่างมันเกื้อหนุนให้ ชนาธิป ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ถ้า ซัปโปโร ไม่ได้เปลี่ยนโค้ชมาเป็นคนปัจจุบัน ทั้งสโมสรและตัวชนาธิป เองก็คงไม่ยกระดับขึ้นมาได้ขนาดนี้ ถ้าเมื่อปี 2016 ทีมของเราไม่ประสบปัญหา เขาและหลายๆ คนก็อาจจะยังไม่ได้ย้ายไปเมืองทองในตอนนั้น และไม่ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพในถ้วยสโมสรเอเชีย ซึ่งผมเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์, พรแสวง และความเป็นลัคกี้สตาร์ของเขา หากมีโอกาสได้ไปเล่นที่ยุโรป เขาก็น่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้เช่นกัน 


สมชาย ชวยบุญชุม 

อดีตเฮดโค้ชทีมชาติไทยชุดยู-19

ครั้งแรกที่ผมเห็นชนาธิป คือตอนที่ผมคุมทีมชาติไทยชุด 19 ปี เมื่อปี 2011 ตอนนั้นผมเห็นเขาแล้วนึกถึง นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ (สิงห์สนามศุภฯ ตำนานการท่าเรือ) เพราะตัวเล็กเหมือนกัน และก็มีทักษะความสามารถเฉพาะตัวสูงมาก แต่กว่าที่ผมจะได้เขามาเล่นให้ทีมชาติมันยากมาก เพราะผมอยากได้เขาตั้งแต่ชิงแชมป์อาเซียน โค้ชของเทโรในตอนนั้นคือ แอนดรูว์ อ็อดด์ ไม่ยอมปล่อยเขามา แล้วอีกทีก็ตอนไปแข่งแม่โขง คัพ ก็ไปชนกับทีมนักเรียนไทย ที่เรียกตัวเขาไปอีก ตอนนั้นผู้เล่นจากเทโร ผมได้ ตั้ม ธนบูรณ์ มาคนเดียว มาตอนชิงแชมป์เอเชียนี่แหละที่ผมขอแล้วขออีกว่าอยากได้ ชนาธิป มาเล่นให้ทีมชาติจริงๆ เพราะผมมองว่าเด็กคนนี้คืออนาคตของทีมชาติไทย จนได้ตัวมาแล้วก็เล่นกันได้ดีทั้งทีม รู้มั้ยว่าชุดแชมป์ซีเกมส์ช่วงที่ ซิโก้ กับ โชคทวี ทำได้แชมป์ 2 สมัยน่ะ มีนักเตะจากยู-19 ชุดนั้นถึง 13 คนเลยนะ สมัยนั้นรุ่นนี้หลายๆ คนไม่ได้อยู่กับ เทโร หรอกนะ อย่างตั้ม กับ ธนากร สายปัญญา ก็อยู่ บางกอก เอฟซี, พีรพัฒน์, ปกรณ์, นฤบดินทร์ ก็มาจากทีม ตำรวจ แต่พอทำผลงานได้ดีก็ยกไปอยู่ เทโร หมดเลย

ผมไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดหมายเลย ที่ ชนาธิป ประสบความสำเร็จในเจลีก เพราะเขาเป็นคนที่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง รวมถึงระเบียบวินัยทั้งในและนอกสนาม คุณพ่อคุณแม่ของเขาก็เป็นบุคคลสำคัญที่เลี้ยงดูให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ อีกสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาได้รับโอกาส อย่างสมัยผม นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ ก็ไม่ได้มีโอกาสดีแบบนี้ ดังนั้นจึงเปรียบเทียบไม่ได้ว่าใครเก่งกว่ากัน เพราะสมัยนั้นการเล่นฟุตบอลมันยังไม่ได้เป็นอาชีพ ชนาธิปได้รับโอกาสจากทั้งสโมสรไทยและต่างประเทศ ซึ่งโค้ชที่เขาเคยร่วมงานมาก็ไม่ใช่ว่าดีทุกคน แต่เกือบทุกคนก็ใช้งานเขา หลายๆ คนที่เห็นเขาครั้งแรก ก็มีความคิดกันแทบทั้งนั้นว่าตัวแค่นี้ไม่น่าจะเล่นได้ แต่พอส่งลงไปเล่นถึงได้เห็นว่าเขาทำได้ อย่างตอนที่เขาไปเจลีกปีแรก โค้ช (ชูเฮ โยโมดะ) จับเขาไปเล่นปีก และให้ลงมาช่วยเกมรับเยอะมาก ตอนนั้นผมยังคิดอยู่เลยว่าโค้ชคนนี้ใช้งานชนาธิปไม่เป็น ชนาธิปต้องเล่นเป็นตัวฟรีเท่านั้น แล้วปีนี้พอได้โค้ชใหม่เข้ามา เขาปรับบทบาทให้ ชนาธิป มาเป็นตัวรุกอิสระ และใช้ศักยภาพในการเลี้ยงบอลจ่ายทะลุของ ชนาธิป ให้เป็นข้อแตกต่างของทีม นั่นแหละที่ผมบอกว่าเขาได้รับโอกาส เพราะนี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้

รู้มั้ยว่าตั้งแต่ผมเป็นนักเตะจนมาเป็นโค้ชในตอนนี้ สิ่งที่ ชนาธิป ทำได้ดีกว่าทุกคนที่ผมเคยเห็นก็คือการจ่ายบอลทะลุช่อง สปีดบอลและทิศทางมันพอดีมากๆ อยู่ที่เพื่อนร่วมทีมว่าจะทันรึเปล่า ซึ่งผมก็หวังให้ผู้เล่นทีมชาติไทยตามความคิดเขาทันเหมือนที่ญี่ปุ่น หวังให้โค้ชใช้งานเขาถูกวิธี แล้วเราจะได้ประโยชน์จากบอลแทงทะลุของเขาเยอะมากแน่นอน 


โชคทวี พรหมรัตน์

อดีตเฮดโค้ชทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ 2015

ผมเคยร่วมงานกับเจมาตั้งแต่ตอนที่ผมทำงานกับ เทโร แล้วล่ะ ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่ เจ เขาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บข้อเท้าหักต้องพักยาวไปหลายเดือน แต่มันก็กลายเป็นโชคดี เพราะการที่เขาเตะบอลไม่ได้ เขาก็ไปขลุกตัวอยู่ที่ห้องฟิตเนส พยายามสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมา เพราะก่อนหน้านั้นเขาตัวเล็กและยังบางอีก แต่พอหายเจ็บกลับมาเขาก็ได้กล้ามเนื้อเพิ่มมาด้วย 

ถามว่ามันเกิดคาดมั้ยที่ใช้เวลาแค่ฤดูกาลครึ่งก็ได้มาเป็นนักเตะทีมยอดเยี่ยมเจลีก ก็ยอมรับว่าเกิดคาดอยู่นะ แต่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะเจเป็นผู้เล่นที่ศักยภาพสูงอยู่แล้ว และไม่เคยหยุดอยู่กับที่ เขามีความทะเยอทะยานที่อยากจะเก่งขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งต้องเจอสถานการณ์ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองเขาก็จะยิ่งพยายามมากขึ้นอีก 

ผมคลุกคลีกับเขามาหลายปี ข้อดีของเจคือเป็นคนที่แอคทีฟตลอดเวลาทั้งในและนอกสนาม ตั้งแต่ที่อยู่ในไทยแล้ว เจจะเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย พอไปอยู่เจลีกก็ยังเฟรนด์ลี่เหมือนเดิม นั่นถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนยอมรับนะ เพราะขนาดตอนที่ผมไปเล่นที่ต่างประเทศ (สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย) ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีใครยอมจ่ายบอลให้เหมือนกัน เพราะเราเป็นนักเตะต่างชาติไง เขาย่อมตั้งข้อสงสัยว่า ไอ้นี่มันมีอะไรดีนักหนาทีมถึงซื้อมันมา ดีกว่าผู้เล่นโลคัลของเขาหรือยังไง ซึ่งพอในสนามเราพิสูจน์ตัวเองได้ และนอกสนามก็ยังเอาชนะใจเขาได้อีก ทีนี้ทุกอย่างมันก็ไปได้สวยหมด 

ฤดูกาลหน้าหลายๆ ทีมในเจลีกอาจจะส่งคนมาประกบติดเจมากขึ้นเพื่อไม่ให้มีอิสระ แต่เชื่อผมเถอะว่ายังไงก็เอาเจไม่อยู่หรอก เพราะเจมันไม่ใช่ผู้เล่นที่ตะบี้ตะบันเลี้ยงหลบคู่แข่ง มันมีทีเด็ดอื่นๆ ที่หลากหลาย ทั้งการเปลี่ยนสปีด, จ่ายบอลเปลี่ยนแกน หรือแทงทะุลุช่อง ถ้าเพื่อนร่วมทีมอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่ามันก็จ่าย แถมเล่นได้สองเท้า ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครในเจลีกหยุดเขาได้ง่ายๆ แล้วถ้ายอมเสียผู้เล่นเพื่อมาตามประกบเจ ก็จะยิ่งทำให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นเล่นง่ายขึ้นด้วย เพราะคนอื่นจะมีพื้นที่มากขึ้น 

ในอนาคตผมว่าถ้าเขาจะไปเล่นยุโรป มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะ อาจจะอยู่พิสูจน์ความสม่ำเสมอของตัวเองที่ญี่ปุ่นอีกสักปีสองปีแล้วค่อยไป ปีหน้าเจเพิ่งจะ 26 รออีกหน่อยก็ยังพอไหว ถ้าไปอยู่กับทีมที่รู้จักใช้ศักยภาพของเจให้เป็น เพราะเขาเป็นนักเตะประเภทที่สามารถสร้างความแตกต่างหรือความหวือหวาได้เสมอเมื่อบอลมาอยู่กับเขา


ใกล้รุ่ง ตรีจักรสังข์ 

อดีตผู้ช่วยโค้ชทีมชาติไทย

ไม่ประหลาดใจนะ เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าเจเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์ แล้วยังมีมีพรแสวงด้วย เรื่องเดียวที่ยังเสียดายก็คือเขาไปเล่นต่างประเทศช้าไปหน่อย ถ้าไปเริ่มต้นตั้งแต่ตอนอายุ 22-23 ก็น่าจะดียิ่งกว่านี้ ช่วงที่ไปทดสอบกับ ชิมิสุ เอสพัลส์ ไง น่าจะได้ไปตั้งแต่ตอนนั้น หากมองถึงโอกาสที่จะก้าวสูงขึ้นไปถึงระดับยุโรป เพราะจะได้มีเวลาค่อยๆ ปรับตัวและพัฒนาตัวเอง แต่จริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไปหรอก อาจจะอยู่ญี่ปุ่นอีกสักปีแล้วค่อยไปพิสูจน์ตัวเองที่ยุโรป ซึ่งเท่าที่ผมรู้จักเขา ถ้ามีโอกาส เจ จะไปแน่นอน เพราะเขาเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่งและทะเยอทะยานที่จะก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเลยนะที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ คือโอกาส หลายๆ คนมีความสามารถแต่ไม่ได้รับโอกาส บางคนมีโอกาสแต่ความสามารถหรือระเบียบวินัยไม่ถึง แต่เจมีทุกอย่าง และเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสที่ได้มานั้นสูญเปล่า เขาต้องการลงเล่น ต้องการเป็นตัวจริง ต้องการแอสซิสต์หรือทำประตูในทุกๆ เกม 

ถามว่าในญี่ปุ่นเขายังต้องพิสูจน์อะไรอีก ผมมองว่าเป็นเรื่องของความสม่ำเสมอ อาจจะแค่ได้ลงเล่นเป็นตัวหลักทุกเกมเหมือนเดิม ไม่ต้องถึงขนาดเป็นนักเตะยอดเยี่ยมหรอก แค่นั้นก็ถือว่าพิสูจน์ตัวเองได้เพียงพอที่จะไปต่อที่ยุโรปแล้วถ้าเขาได้รับโอกาสนะ เสียดายที่ทีมซัปโปโรไม่ได้ไปเตะ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะเขาจะได้มีเวทีให้โชว์หลายๆ ที่ เผื่อแมวมองที่มาติดตามจะได้เห็นว่าในแต่ละระดับเขาสามารถทำผลงานได้ดีแค่ไหน 

ถ้าในอนาคตเจได้ไปเล่นที่ยุโรป ผมก็เชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้นะ ถึงจะตัวเล็กก็เถอะ ผมเคยไปดูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามมาแล้ว ตัวรุกของ แมนฯซิตี้ ตัวเล็กๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ริยาด มาห์เรซ, เซร์คิโอ อเกวโร่, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, กาเบรียล เชซุส หรือ ดาบิด ซิลบา อย่าง มาห์เรซ เนี่ยถึงไม่ได้เตี้ยมาก แต่เขาผอมบางมาก แต่ก็เล่นในระดับพรีเมียร์ลีกได้ด้วยวิธีการเล่นของโค้ช ดังนั้นผมจึงเชื่อว่านักเตะหากมีความสามารถสูงพอ และได้เล่นในแท็กติกที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นลีกระดับไหนก็เล่นได้ทั้งนั้นครับ


ก้องภพ สรงกระสินธุ์

คุณพ่อของ เจ ชนาธิป

มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อนะ กับเรื่องตัวเลข 18 เพราะ เจ ใส่เบอร์ 18 เล่นให้ทีมมา 18 เดือน ในฤดูกาล 2018 วันที่รับรางวัลทีมยอดเยี่ยมก็เป็นวันที่ 18 ธ.ค. ในเวลา 18.00 น. ด้วย ยังมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับหมายเลข 18 อีกเยอะในปีนี้ เหมือนเป็นเลขที่เกื้อหนุนเรื่องโชคชะตาให้เขา ส่วนถ้าจะเปลี่ยนไปใช้เบอร์ 10 ก็ขึ้นอยู่กับสโมสรและตัวเจล่ะครับว่าจะตัดสินใจยังไง เพราะผมและเจก็ชอบเบอร์ 10 อยู่แล้ว ส่วนตัวผมชื่นชอบ มาราโดน่า ส่วนเจเขาก็ใส่เบอร์ 10 มาตั้งแต่เล่นบอลนักเรียน ดังนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าเปลี่ยนไปใช้เบอร์ 10

ความสำเร็จในปีนี้ ต้องยกเครดิตให้ มิช่า (มิไฮโล เปโตรวิช เฮดโค้ช) เลยนะ โค้ชมิช่า เนี่ยเรียกเจว่าลูกชายตลอด  ย้อนกลับไปดูตั้งแต่ตอนพรีซีซั่น ช่วงที่เขาเข้ามาคุมทีมใหม่ๆ เขาเปลี่ยนแท็กติกการเล่นให้ใช้การต่อบอลกับพื้น ค่อยๆ สร้างเกมขึ้นมาตั้งแต่แนวรับ ตอนนั้นอุ่นเครื่องแพ้ 4-0, 5-0 เขาก็ไม่ได้สนใจเลย เพราะเป็นช่วงที่เขาอยากให้นักเตะเข้าใจแท็กติกใหม่ ขนาด คิม มิน แต (เซนเตอร์ฮาล์ฟชาวเกาหลีใต้) ที่เป็นตัวหลักของทีมก็ยังหลุดออก เพราะบิวดิ้งเกมไม่ได้ แล้วกลายเป็น ฮิโรกิ มิยาซาว่า กองกลางกัปตันทีมที่ถอยลงมาเล่นแทน โค้ชเขาเด็ดขาดมาก ถ้าใครเล่นตามแท็กติกไม่ได้เขาก็ไม่ให้ลงเลย

การที่ มิช่า เปลี่ยนแท็กติกการเล่นเนี่ยแหละที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ เจ สามารถใช้ศักยภาพที่มีออกมาได้เต็มที่ เขาไม่ได้เปลี่ยนแท็กติกของทีมเพื่อให้เข้ากับสไตล์เจนะ แต่เขามองดูว่านักเตะในทีมใครสามารถทำอะไรได้บ้าง แล้วเลือกไปใส่ในแท็กติกของเขา เจเล่นไม่เหมือนคนอื่นในทีม สามารถเลี้ยงบอลได้หลากหลาย จ่ายบอลแทงให้เพื่อนได้ สามารถสร้างความแตกต่างในเกมได้ 

ในอนาคตเรื่องการไปเล่นยุโรป ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มองไปถึงขนาดนั้นนะ แต่มันก็เป็นความฝันอย่างนึงของเจเหมือนกัน ผมคิดว่าถ้าทำผลงานในเจลีกได้ดีอีกสักปีหรือสองปี ก็อาจจะมีทีมอื่นมาสนใจเอง อาจจะเป็นในญี่ปุ่นด้วยกันก็ได้ ตอนนี้เจก็ต้องทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนคนไทย พิสูจน์ให้เจลีกเห็นว่าเขาสามารถรักษาความสม่ำเสมอได้ ไม่ปล่อยให้ผลงานตกลงไปในฤดูกาลหน้า

ตอนนี้มีหลานของเจชื่อว่า น้องแบรนด์เนม เป็นลูกของพี่ชายเจที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน อายุประมาณ 7-8 ขวบ เพิ่งหัดเล่นฟุตบอลมาได้ปีเดียวก็เดาะบอลได้เป็นร้อยทีแล้วนะ หลายๆ คนก็ชมว่าลีลาการเล่นคล้ายๆ เจตอนเด็กๆ เรื่องรูปร่างก็คงไม่มีใครเล็กอย่างเจอีกแล้วล่ะ เพราะเรารู้แล้วว่าตอนที่เจเด็กๆ เราบกพร่องในเรื่องอาหารการกินอะไรไปบ้าง ทีนี้เราก็จะไม่ละเลยในเรื่องพวกนี้อีก ก็ต้องดูกันต่อไปว่าหลานผมคนนี้เขาจะเล่นฟุตบอลไปได้ไกลถึงระดับไหนครับ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด