:::     :::

อีหรอบเดิม

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
2,457
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชัยชนะเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นความน่าชื่นชมของพลพรรคสิงห์บลูส์ต่อจากด้วยการเอาชนะ ไบรท์ตัน 2-1 เป็นชัยชนะในลีกสองเกมติดต่อกันหลังพ่ายแพ้ให้กับ วูล์ฟส์ แบบพลิกความคาดหมาย
         ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ทำให้ทีมถึงขั้นว่ากลับมาลุ้นแชมป์ได้ แต่มันก็คือแต้มที่จะพาทีมบรรลุเป้าหมายในการกลับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ในซีซั่นหน้า
         แถมยังได้รับคำขอบคุณจากฝั่ง ลิเวอร์พูล มาอีกด้วยที่ช่วยหยุดยั้งความแรงของ "แชมป์เก่า" ที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรหยุดได้เลย
         ถึงกระนั้น เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็ยังถ่อมตัวว่าสิงโตแห่งกรุงลอนดอนยังไม่ดีถึงขั้นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นทีมเบียดลุ้นแชมป์ โดยเป้าหมายยังเหมือนเดิมเมื่อต้นฤดูกาลก็คือการติด "ท็อปโฟร์" ของตารางให้ได้
         ในขณะเดียวกันในศึกยูโรปา ลีกทีมก็ทะลุเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายไปได้ชนิดที่ต้องบอกว่าไม่ได้หนักหนาอะไรเมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มก้รู้กันอยู่แล้วว่าสู้ไม่ได้ ซึ่งของจริงจะมาหลังจากนี้ต่างหากที่แต่ละทีมที่เข้ารอบมาถือว่าไม่ธรรมดา รวมถึงพวกที่หล่นลงมาจากเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
       
         ก็ถือว่าไม่ง่ายเหมือนกันอีกนั่นแหละ
         เกมกับ เลเสตอร์ ซิตี้ ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถือเป็นเกมที่ 3 ที่ทัพ "สิงห์บลูส์" ยึดผู้เล่นชุดเดียวเดิมในลีกต่อเนื่องจากเกมชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ไบรท์ตัน มี เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เฝ้าเสา กองหลังสี่คนประกอบไปด้วย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ดาวิด ลุยซ์, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ มาร์กอส อลอนโซ่ แดนกลางมี มาเตโอ โควาซิช, จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ส่วนแนวรุก เปโดร โรดริเกซ และ วิลเลี่ยน ทำเกมริมส้นโดยมี เอแด็น อาซาร์ เป็นกองหน้าแบบ "ฟอลส์ไนน์"
         ก็อย่างที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เคยบอกเอาไว้ว่าสตาร์ทีมชาติเบลเยี่ยมจะได้รับหน้าที่เล่นในตำแหน่งนี้อีกอย่างแน่นอน และเมื่อ อัลบาโร่ โมราต้า มีอาการบาดเจ็บ ก็ลงล็อคพอดี ส่วน โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เป็นสำรองสแตนบายด์อยู่ข้างสนาม
         ในเกมคาราบาว คัพเมื่อกลางสัปดาห์ที่พักตัวหลักไว้หลายคน แต่สุดท้ายก็ยังเดือดร้อนถึง เอแด็น อาซาร์ ที่ลงมาพังประตูชัยให้ทีมใน่ชวงท้ายเกม ช่วยให้ทัพสิงห์ผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้สำเร็จ 
        
         แสดงให้เห็นว่าดาวเตะทีมชาติเบลเยี่ยมเป็นคนที่ทีมจะขาดไปไม่ได้เลยในตอนนี้ และ จานฟรังโก้ โซล่า ก็บอกว่าความจริงก็อยากให้พักเหมือนกัน แต่บางครั้งสถานการณ์มันบังคับจริงๆ
         น่าสนใจที่เกมนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีคู่เซนเตอร์ร่างใหญ่อย่าง เวส มอร์แกน และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กับการเจอกับสามแนวรุกสิงโตน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอนจะรับมือยังไง
         จังหวะเปิดเกมจากแดนหลังที่ถือเป็นอีกหนึ่งในจุดแข็งของทีมชุดนี้เกือบทำงานเพียงแค่สองนาทีจังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ โดน เวส มอร์แกน เอาแขนฟาดเต็มหน้าลงไปกอง บอลอยู่ในการครอบครองของฝั่งเจ้าบ้านที่ดึงบอลไว้ยังไม่เตะทิ้งรอเพื่อนลุกขึ้นมา และเมื่อกรรมการให้สัญญาณ ดาวิด ลุย์ อาศัยจังหวะนี้เปิดยาวมาหน้าประตู วิลเลี่ยน โฉบมาสะกิดเปลี่ยนทางแต่บอลหลุดกรอบออกไป
         ทีละนิดทีละหน่อย เชลซี ค่อยดึงบอลมาอยู่ในการครอบครองได้แบบเบ็ดเสร็จ บีบให้ เลสเตอร์ ต้องลงไปเล่นเกมรับกันทั้ง 11 คน
        
         แต่ทว่าแผนการของฝั่ง "สุนัขจิ้งจอก" ที่เตรียมมาดูเหมือนว่ายังทำได้ดีกับการบีบให้เกมของฝั่งเจ้าบ้านต้องเปิดเกมบุกทางริมเส้น ซึ่งการไม่มีกองหน้าตัวเป้าอย่าง อัลบาโร่ โมราต้า หรือ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ทำให้จังหวะสุดท้ายยังไม่มีอะไรน่าหวาดเสียว
         เอแด็น อาซาร์ เองที่รับบทเป็น "ฟอลส์ ไนน์" ก็ฉีกออกมาริมเส้นบ่อยครั้ง และหลายที่ยามที่เกมรุกบุกขึ้นมาไม่รู้จะเปิดให้ใครเหมือนกัน กลายเป็นต้องมาต่อบอลกลับเข้ากลางซึ่งแน่นอยู่แล้ว
         แต่เกมรับที่ยืนกันแน่นปึ๊กของทางฝั่ง เลสเตอร์ ก็เกือบพลาดเสียท่าหลังผ่านครึ่งชั่วโมงจากจังหวะที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ พยายามชิงจังหวะเล่นก่อน เอแด็น อาซาร์ แต่พลาดให้สตาร์เบลเยี่ยมเข้าไปซัดเต็มข้อในเขตโทษบอลพุ่งชนคานเต็มๆ
         เลสเตอร์ เองไม่มีเวลาคิดอะไรเยอะ ตลอดครึ่งแรกพวกเขาตั้งเกมรับทั้งทีม บอลที่อยู่ในการครอบครองของ เชลซี เกือบทั้งหมด แม้เกมรุกจะพลาดเสียบอลแต่การบีบเกมเร็วก็ทำให้ฝั่งทีมเยือนไม่อาจจะเล่นถ่วงเวลาได้เลย ท้ายที่สุดก็ต้องเลือกที่จะแตะบอลทิ้งซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายบอลก็กลับไปอยู่กับเจ้าถิ่นที่ได้เปิดเกมบุกใหม่
        
         จะมีโอกาสยาม เชลซี เปิดบอลเข้าเขตโทษแล้ว คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ออกมารับพอให้ได้หายใจหายคอกันบ้าง
         ฝั่งผู้มาเยือนเองก็มาได้เสียวจังหวะสับไกนอกกรอบของ วิลเฟร็ด เอ็นดีดี้ ที่บอลจะเสียบใต้คานอยู่แล้ว ทำให้เอา เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ต้องโชว์ฝีมือบินปัดออกหลังให้สมค่าตัวแสนแพงกันหน่อย ขณะที่เจ้าบ้านามาได้โอกาสลุ้นจากจังหวะสับไกของ จอร์จินโญ่ จากแถวสอง แต่ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล เซฟไว้ได้
         ครึ่งแรกสกอร์บอร์ดไม่ทำงาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกมรุกของ เชลซี มีปัญหากับการเข้าทำที่โดนบีบให้ออกด้านข้าง แม้จะมีการเปลี่ยนเป็นเปิดเรียดหรือหักเข้ากลางแต่จังหวะจบยังไม่คมพอ
         ออกสตาร์ทครึ่งหลังเกมไม่ได้แตกต่างจากครึ่งแรก เชลซี เปิดเกมบุกเข้าใส่ แต่มันต่างตรงที่จังหวะบุกหนแรกของ เลสเตอร์ ซิตี้ เปลี่ยนเป็นประตูขึ้นนำก่อนหลังผ่าน 6 นาทีเท่านั้น จังหวะสวนขึ้นมา ริคาร์โด้ เปเรยร่า ตัดจากทางขวาเข้ากลางไหลให้ เจมส์ แม็ดดิสัน ต่อมาให้ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ครึ่งแรกแทบไม่ได้บอลเลยกดตูมเดียวในเขตโทษบอลพุ่งเสียบตาข่ายชนิดที่ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ไม่ได้ขยับตัวเลย
        
         หนึ่งชั่วโมงของเกม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ขยับเปลี่ยนตัวสองคนรวดเอา รูเบน ลอฟตัส-ชีค กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นแทน มาเตโอ โควาซิช และ วิลเลี่ยน ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าเซอร์ไพรส์เท่าไร
         ผ่านครึ่งทางของครึ่งหลังแทบจะต้องบอกว่าเกมของ เชลซี ไม่ได้เหนือกว่าแล้ว แถมยังมีจังหวะสวนของฝั่งทีมเยือนที่วูบวาบเหมือนกัน แต่ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นคือบรรดาผู็เล่นของทัพจิ้งจอกวิ่งและช่วยกันเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ
         ไพ่ใบสุดท้ายของเจ้าถิ่นกับการส่ง เชส ฟาเบรกาส ลงมาเป็นตัวคอยจ่ายบอลแทนที่ จอร์จินโญ่ ที่ทำอะไรไม่ได้มากในเกมนี้แม้จะมีพื้นที่ให้เล่นพอสมควร
         หลังจากที่ครองบอลบุกเข้าใส่อย่างหนัก แต่ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก เกมของ เชลซี ก็ดูจะตื้อไปเหมือนกันแถมยังเกือบสังเวยประตูที่สองจากการยิงแถวสองของ มาร์ค อัลไบรท์ตัน และเป็นอีกครั้งที่ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ต้องพุ่งปัดช่วยทีมอีกครั้ง
        
         สุดท้ายกลายเป็น เชลซี ที่โดนเกมของ เลสเตอร์ ซิตี้ บีบพื้นที่ใส่ในช่วงท้ายและเสียบอลกันไปเองบ้าง เอแด็น อาซาร์ ที่พยายามเล่นเอง หรือต้องบอกว่าเล่นเองจนเหนื่อยก็เจาะแนวรับผู้มาเยือนไม่ได้เลย 
         โอกาสทองในช่วงทดเจ็บของ เชลซี จากการต่อบอลอันสวยงาม มาร์กอส อลอนโซ่ หลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนยิงผ่าน คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ไปแล้สแต่บอลไปชนเสาผ่านหน้าประตูไปอีก สุดท้ายลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ไป เป็นการแพ้เกมลีกในบ้านนัดแรกในซีซั่นนี้ด้วย
         เกมนี้ "สุนัขจิ้งจอก" แสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยในเกมรับที่แข็งขันกันอย่างยิ่ง ไม่ปล่อยโอกาสให้คู่แข่งมีพื้นที่ในจังหวะเข้าทำมากนัก โดยเฉพาะการบีบพื้นที่สุดท้ายให้ เชลซี ต้องออกไปเล่นด้านข้างต้องบอกว่าทำได้อย่างดีเยี่ยม
         นอกจากนี้ เลสเตอร์ ยังแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่จำเป็นจะต้องมีคนไปตามประกบ จอร์จินโญ่ ปล่อยให้มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลีมีพื้นที่เล่น แต่ไปบีบนักเตะคนอื่นที่วิ่งห่องช่องทำประตู
        
         แม้กระทั่งจังหวะยิงนอกกรอบของ เชลซี ยังมีให้เห็นน้อยมากๆ
         สามนักเตะสำรองที่ส่งลงมาไม่ได้ช่วยอะไรทีมเลย การขึ้นเกมรุกยังเป็น อาซาร์ ที่แบกภาระคนเดียวจนหมดพลัง การเปิดบอลด้านข้างโดยเฉพาะทางขวาของ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แทบไม่ผ่านบล็อคด้วยซ้ำ
         เป็นวันที่ระบบ "ฟอลส์ ไนน์" ใช้ไม่ได้ผล และการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นที่ดูก็เหมือนเดิมจนเรียกได้ว่าคู่แข่งแทบจะจับทางได้อยู่แล้ว
         นัดถัดไปกับการบุกไปเยือน วัตฟอร์ด ที่ชนะมาสองเกมติดในวัน "บ็อกซิ่ง เดย์" ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย
         มองจากเกมวันนี้หากไม่มีการเสริมแนวรุกในเดือนมกราคม คงต้องบอกว่าแม้แต่พื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกก็มีโอกาสหลุดมือได้เหมือนกัน


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})