ความพ่ายแพ้ให้กับ เชลซี ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ส่งให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสียตำแหน่งจ่าฝูงของตารางมาจนถึงวันนี้ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ง่ายซะแล้วกับการกลับคืนตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
ชัยชนะเหนือ ฮอฟเฟ่นไฮม์, เอฟเวอร์ตัน และการยิงจุดโทษเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ในศึกคาราบาว คัพ ดูเหมือนว่าเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ จะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ในเกมลูกหนัง
ซึ่งอันที่จริงแล้วความพ่ายแพ้ให้กับ "สิงห์บลูส์" ไม่ถึงเป็นเรื่องแปลก เมื่อทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทั้งต้องออกไปเยือน และเกรดทีมของสิงโตกรุงลอนดอนก็ถือว่าอยู่ในลำดับต้นๆของลีกผู้ดี เพราะหากเจาะลึกลงไปในรูปเกมทัพเรือใบถือว่าสร้างโอกาสพังประตูไม่เป็นรองหรือเรียกว่าเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ชัยชนะสามเกมหลังจากความพ่ายแพ้นัดแรกในลีก (รวมยิงเป้าชนะ เลสเตอร์) ทำให้แฟนสีฟ้าจากแมนเชสเตอร์มั่นใจว่าทีมกลับมามั่นใจพร้อมกับการได้ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ตัวเก่งหายจากอาการบาดเจ็บกลับมาลงสนามอีกครั้ง
มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นทั้งนั้น... จนกระทั่งความพ่ายแพ้จากเกมล่าสุดให้กับ คริสตัล พาเลซ 2-3
ถือเป็นการแพ้ในบ้านนัดแรกในซีซั่นนี้เลย ซึ่งตลอดฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาแพ้ในบ้านแค่นัดเดียวให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์เดียวกันนี้
จริงอยู่ที่เกมรุกของพวกเขายังคงเดินหน้ายิงประตูอย่างต่อเนื่อง ซีซั่นนี้ทะลวงตาข่ายไปแล้วถึง 50 ลูกจาก 18 เกม โดยเฉพาะในบ้านที่ไม่เคยยิงต่ำกว่าเกมละ 2 ประตู แต่เกมรับก็มีช่องโหว่ให้คู่แข่งเจาะเข้าทำได้หลังรักษาคลีนชีตได้แค่นัดเดียวจาก 8 เกมหลัง ซึ่งในบ้านก็เสียประตูมา 5 เกมติดแล้ว
นั่นทำให้ข้อได้เปรียบจากประตูได้-เสียที่เหนือกว่าคู่แข่งแบบถล่มทลายในช่วงต้นจนตอนนี้โดน ลิเวอร์พูล ไล่มาห่างเหลือแค่ 5 ประตู แถมมีแต้มมากกว่า 4 คะแนน รักษาสถิติเป็นทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ใครในฤดูกาลนี้
"เรือใบ" โคจรมาเจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้งหลังเพิ่งดวลเป้าชนะมาในบอลถ้วย แน่นอนว่าเกมนี้ขุมกำลังต่างกันแบบสิ้นเชิง จากที่สำรองเกินครึ่งทีมก็มาใส่ตัวหลักลงเต็มสูบ โดยเฉพาะในรายของ เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ลงเล่นเป็นสำรองในเกมพ่าย พาเลซ ซึ่งทาง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอมรับว่าอาจจะคิดผิดที่พักทั้งคู่ที่ลงเป็นตัวจริงในเกมที่คิง เพาเวอร์ในคาราบาว คัพ เพราะกลัวจะล้าจากโปรแกรมที่ลงเล่นต่อเนื่องและเพิ่งหายเจ็บทั้งคู่ กลับมาเป็นตัวจริง
ผู้เล่นที่ส่งลงสนามถือว่าสมบูรณ์ทีเดียว มีแค่ เบนฌาแม็ง เมนดี้ แบ็คซ้ายกับ แฟร์นานดินโญ่ ที่เจ็บในแดนกลางเอา อิลคาย กุนโดนกัน ประสานงานกับ แบร์นาโด้ ซิลวา และ เควิน เดอ บรอยน์ แนวรุก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ เลรอย ซาเน่ ปั้นเกมให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ ล่าตาข่าย เกมรับ ดานิโล่, จอห์น สโตน, อายเมริก ลาร์ปอร์กต์ และ ฟาเบียน เดลฟ์ รับบทแบ็คซ้ายจำเป็น มือกาว เอแดร์ซอน เฝ้าเสา
ต้องดูว่าการขาดกลางรับตัวหลัก รวมถึงแบ็คขวา-ซ้ายจะส่งผลกับเกมนี้หรือไม่
แน่นอนว่าเป้าหมายไม่มีอย่างอื่นนอกจากสามคะแนนเท่านั้นเพื่อไล่ล่า ลิเวอร์พูล หลังจากที่เป็นผู้ถูกล่ามานาน
เกมที่อยู่ในการครอบครองของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ดูจะอึดอัดเพราะหาช่องเข้าทำไม่ได้แต่ก็มาได้ประตูขึ้นนำจากโอกาสแรกในนาทีที่ 15 จังหวะที่ อายเมริก ลาร์ปอร์กต์ ดันเกมสูงมาในแดนคู่แข่งไหลให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่จับบอลลั่นแต่ยังตามไปจิ้มให้ แบร์นาโด้ ซิลวา ที่หลุดกับดักล้ำหน้าไปยิงเข้าไปเป็น 1-0
ลูกนี้ต้องโทษ เบน ชิลเวลล์ ที่ไปห้อยท้ายทำให้ แบร์นาโด้ ไม่ล้ำหน้าทั้งที่เพื่อนดันขึ้นไปหมดแล้ว
แต่ดีใจได้ไม่นานโอกาสแรกของฝั่งเจ้าถิ่นก็มาได้ประตูเหมือนกัน เจมี่ วาร์ดี้ เปิดบอลจากเขตโทษทางซ้ายลึกไปเสาสอง มาร์ค อัลไบรท์ตัน โหม่งคนเดียวย้อนไปเสาแรกเข้าไป สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1
การเสียประตูของซิตี้ก็ต้องโทษ ฟาเบียน เดลฟ์ เต็มๆเหมือนกัน ทั้งเขตโทษมีนักเตะเลสเตอร์คนเดียววิ่งมาข้างหลังแต่ไม่ได้เฉลียวใจเลย และนี่คือจุดอ่อนจริงๆของทีมยามที่ไม่มี เบนฌาแม็ง เมนดี้ เพราะเขาคือคนที่รับหน้าที่แทนอยู่เสมอ
จากเกมที่เหนือกว่าแต่เล่นไปเล่นมาช่วงท้ายครึ่งแรกกลับเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เปิดเกมบุกและเกือบได้ประตูอยู่หลายหนแต่ เอแดร์ซอน เซฟช่วยเอาไว้ได้ทำให้สกอร์ในครึ่งแรกยังตรึงที่ 1-1
การขึ้นเกมรุกของซิตี้เกมนี้ดูแปลกตาไปเมื่อคนที่คอยเป็นตัวเปิดเกมกลับเป็น ฟาเบียน เดลฟ์ ที่หุบเข้ามาตักบอลทั้งซ้ายขวาแต่มักจะจ่ายเสียเกือบตลอด เลรอย ซาเน่ กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ถ่างไปสุดเส้นทั้งสองฝั่ง ตรงกลางมี เซร์คิโอ อเกวโร่ พร้อมกับ แบร์นาโด้ กับ เควิน เดอ บรอยน์ ที่คอยสอดมาตลอด
เมื่อขึ้นเกมทางขวาในช่วงแรกไม่ได้ผล เรือใบเปลี่ยนมาขึ้นเกมทางซ้ายที่ดูวูบวาบมากขึ้นทำให้ สเตอร์ลิ่ง หายจากเกมไปเลย ส่วนคนที่เหลือก็ไม่ได้ทำอะไรมาก "กุน" แทบไม่ได้ยิงนอกจากชาร์จลูกเปิดด้วยซ้ายข้ามคาน จะมีก็ ซาเน่ ที่ป่วนมากขึ้น แต่ว่ากันตามตรงก็ไม่ได้สร้างอันตรายให้คู่แข่งนัก
เกมครึ่้งหลังไม่แตกต่าง บอลอยู่ในการครอบครองของฝั่งทีมเยือน เพียงแต่จังหวะเข้าทำมันหาช่องเจาะไม่ได้จริงๆ การยืนเกมรับของ เลสเตอร์ เหนียวแน่นและมีระเบียบกันอย่างมาก
ทั้งลูกฟรีคิกและลูกเตะมุมของทีม "เรือใบ" แทบไร้ประโยชน์เมื่อต้องเจอกับทั้ง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ เวส มอร์แกน การเปิดบอลเข้าเขตโทษไม่ได้กดดันคู่แข่งเลย แม้จะในจังหวะขึ้นเกมก็ตามที
20 นาทีสุดท้าย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขยับเปลี่ยนตัวคนแรกเอา ดาบิด ซิลบา ลงมาเล่นแทน เควิน เดอ บรอยน์ ที่ดูจะไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก
จริงอยู่ที่เกมของ เลสเตอร์ ซิตี้ ครองบอลน้อยกว่า แต่จังหวะได้บอลแล้วบุกขึ้นไปก็ไม่เป็นรองเลย แถมยังจะได้ลุ้นมากกว่าด้วยซ้ำ
กระทั่งสิ่งที่แฟนเรือใบไม่อยากเห็นก็บังเกิดในช่วง 10 นาทีสุดท้ายจังหวะเตะมุมที่ เลรอย ซาเน่ โหม่งสกัดมาหน้าเขตโทษ ริคคาร์โด้ เปเรยร่า จับหนึ่งทีแล้วกดด้วยขวาบอลพุ่งเสียบตาข่ายเป็น 2-1 ของเจ้าบ้าน
พอเสียประตู เป๊ป ขยับเปลี่ยนตัวคนที่สองทันทีเอา ริยาด มาห์เรซ ที่ได้มาเยือนถิ่นเก่าลงเล่นแทน แบร์นาโด้ ซิลวา แต่เหมือนมันจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ซ้ำร้าย ฟาเบียน เดลฟ์ มาโดนใบแดงจากกากพุ่งเสียบโดนบอลแต่ก็เปิดปุ่มสูงใส่ ริคคาร์โด้ เปเรยร่า
เหมือนกับหนังม้วนเดิมที่ เลสเตอร์ ซิตี้ พบกับ เชลซี ที่รูปเกมเป็นรอง แต่ยามบุกขึ้นมาโอกาสได้ลุ้นมีเสียวมากกว่าและสุดท้ายคว้าชัยชนะไปครอง
นับเป็นครั้งที่สองของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่คุมทีมแพ้ในพรีเมียร์ลีกสองนัดติดต่อกัน โดยก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปีแรกที่คุมทีมแพ้ เชลซี ต่อด้วย เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมนี้นี่เอง เกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2016
และเมื่อดูผลของทีมนำอย่าง ลิเวอร์พูล ที่เก็บชัยชนะเหนือ นิวคาสเซิ่ล ไปแบบสบายๆ ก็ทำให้ตอนนี้ ซิตี้ โดนทิ้งห่างออกไปเป็น 7 คะแนนแล้ว แถมยังโดน สเปอร์ส ที่ไล่ถล่ม บอร์นมัธ แซงขึ้นมาอันดับสองของตารางอีกด้วย
เกมถัดไปกับการบุกเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ในสุดสัปดาห์นี้ ซิตี้ จำเป็นต้องกลับมาเรียกความมั่นใจให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะหลังจากฉลองปีใหม่แล้วทีมจะต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ที่ถือเป็นไฟท์บังคับที่ทีมจะต้องเก็บชัยชนะให้ได้เท่านั้นเพื่อบีบช่องว่างให้แคบลงมากับการลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้
จากปีที่แล้วเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปแบบทิ้งคู่แข่งไม่เห็นฝุ่น ปีนี้คงได้เห็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นผู้ล่าอย่างเต็มตัวกับเค้าบ้างแล้ว