:::     :::

ยังต้องดูกันอีกยาว

วันศุกร์ที่ 04 มกราคม 2562 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
2,126
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
สามคะแนนสุดสำคัญของพลลพรรค แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหนือ ลิเวอร์พูล ทำให้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ยังคงยากที่จะคาดเดาว่าบทสรุปจะเป็นแบบไหน

         แม้ว่าที่ผ่านมา เจอร์เก้น คล็อปป์ จะยืนยันหนักหนาว่าทีมยังต้องลุ้นไปแบบเกมต่อเกมและยืนยันว่าทีมไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งมากมายขนาดนั้น แต่จากฟอร์มการเล่นในซีซั่นนี้ก็ทำให้แฟนบอลเริ่มฝันถึงการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990

         แต่จากความพ่ายแพ้ในเกมล่าสุดเหมือนจะทำให้แฟนหงส์ (บางกลุ่ม) กลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริงอีกครั้ง กับคะแนนที่นำหน้า "เรือใบ" 4 แต้ม ซึ่งถือว่าไม่เยอะเลยกับเกมที่เหลืออีกครึ่งฤดูกาล

         ประตูของ เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" และ เลรอย ซาเน่ ยังทำให้นี่เป็นนัดแรกของฤดูกาลนี้ในพรีเมียร์ลีกที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เสียมากกว่าสองประตูในเกมเดียว

         มันไม่ได้หมายว่าว่าเกมรับของพวกเขาเริ่มมีปัญหา แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าแนวรับอันแข็งแกร่งของทีมจ่าฝูงก็มีช่องให้เข้าทำถ้าคุณเก่งพอ

                

         ถือเป็นเกมที่สูสีและยากจะคาดเดา เพียงแต่ท้ายที่สุดความเด็ดขาดรวมถึง "โชค" อยู่ข้างฝั่งเจ้าบ้านจึงทำให้คว้าสามคะแนนพร้อมทั้งกดดัน ลิเวอร์พูล มากขึ้นไปอีก

         ต้องยอมรับว่าประสบการณ์ถือเป็นเรื่องสำคัญเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเกมที่มีความกดดันสูง, เดิมพันด้วยตำแหน่งแชมป์ น่าเสียดายที่ สเปอร์ส ดันไปพ่าย วูล์ฟส์ ในเกมก่อนหน้านี้ ไม่อย่างนั้นคงได้ลุ้นกันสนุกมากกว่านี้อีก

         ถึงกระนั้นด้วยความยอดเยี่ยมตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาสมควรอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง ด้วยความยอดเยี่ยมทั้งเกมรุกและเกมรับ ซึ่งความพ่ายแพ้เพียงเกมเดียวคงไม่ทำให้พวกเขาเสียความมั่นใจถึงขนาดนั้น

         ผลการแข่งขันจากเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยม นำมาซึ่งจุดน่าสนใจหลายอย่างซึ่งมีอะไรกันบ้างลองไปดูกัน

การลุ้นแชมป์ยังอีกยาวไกล

                

         เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สะดุดพ่ายถึง 3 จาก 5 เกมหลังก่อนหน้าเกมพบกับ ลิเวอร์พูล ทำให้ทีมต้องตกอยู่ในทีมนั่งลำบากในการลุ้นแชมป์ เพราะผู้ตามอย่าง "หงส์แดง" เดินหน้าคว้าชัย 9 เกมรวดในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่เพียงแค่แซงเป็นจ่าฝูงแต่ยังทิ้งห่างถึง 7 แต้ม

         เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว "เรือใบ" ที่เดินหน้าเก็บชัยชนะพร้อมกับยิงประตูเป็นว่าเล่นนำโด่งเป็นจ่าฝูงของตารางกระทั่งเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปแบบม้วนเดียวจบ

         ด้วยผลงานที่แย่ไปดื้อๆสวนทางกับคู่แข่งทำให้หลายคนมองว่านี่อาจจะเป็นปีที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเข้าป้ายคว้าแชมป์ด้วยผลงานที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง

         ซึ่งเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยมนี่เองน่าจะเป็นตัวชี้วัดว่าปีนี้การลุ้นแชมป์จะไปในทิศทางไหน หาก ลิเวอร์พูล บุกคว้าชัยจะหนีห่างถึง 10 แต้ม และดูท่าทางว่าคงยากที่จะไล่ตามทัน ในเมื่ออีกทีมอย่าง สเปอร์ส ก็ไปพ่ายแพ้คารังให้กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ซะอย่างนั้น

         ท้ายที่สุดแล้วชัยชนะตกเป็นของเจ้าถิ่นพร้อมบีบช่องว่างแคบลงเหลือ 4 คะแนน ถือเป็นความพ่ายแพ้นัดแรกในซีซั่นนี้และเสียสองประตูในเกมเดียวในลีกเป็นครั้งแรกด้วย

         เส้นทางการลุ้นแชมป์ในอีก 17 เกมที่เหลือยังยากคาดเดา และจากนี้ไปการุล้นแชมป์จะเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอย่างแท้จริง

โรเตชั่นที่ส่งผลกระทบกับ ลิเวอร์พูล

                

         การที่ เจมส์ มิลเนอร์ ฟิตกลับมาทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ลังเลที่จะส่งมิดฟิลด์รายนี้ลงสนาม รวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็กลับมาออกสตาาร์ทอีกครั้ง ทำให้แดนกลางของ ลิเวอร์พูล มีการปรับเปลี่ยนจากเกมที่ไล่ถล่ม อาร์เซน่อล 5-1 โดย เซอร์ดาน ชากิรี่ และ ฟาบินโญ่ หลุดไปเป็นตัวสำรอง

         การเปลี่ยนแปลงในแดนกลางดูเหมือนจะส่งผลกระทบกับจังหวะการเล่นของ "หงส์แดง" เหมือนกันในที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ไม่ใช่ว่าทั้ง มิลเนอร์ หรือ เฮนเดอร์สัน ทำผลงานได้ไม่ดี เพียงแต่ในจังหวะเข้าทำไม่อาจจะช่วยเพื่อนได้มากเท่ากับสองตัวสำรอง

         แม้สองมิดฟิลด์ชาวอังกฤษจะมีประสบการณ์เหนือกว่าแต่ในเกมที่รวดเร็วแบบนี้ความสดถือเป็นเรื่องสำคัญ สุดท้ายเจอความวูบวาบในเกมรุกของซิตี้เล่นงานจนลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ ชวดโอกาสที่จะหนีเป็น 10 คะแนน หรือแม้แต่รักษาระยะห่างเท่าเดิมเอาไว้

         อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขายังเป็นทีมนำของตารางพร้อมมีคะแนนนำ 4 แต้ม ก็ถือว่ายังกุมความได้เปรียบในการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

เลรอย ซาเน่ คืนฟอร์มเยี่ยมในเวลาที่เหมาะสม

                

         นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเกมที่ เลรอย ซาเน่ ทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาสวมเสื้อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมที่ทีมต้องการสามแต้มเหนือ ลิเวอร์พูล

         นอกจากจะสนับสนุนเกมรุกของทีมได้เป็นอย่างดีแล้ว สตาร์ทีมชาติเยอรมันยังช่วยอุดเกมรับที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือกใช้ อายเมอริก ลาปอร์กต์ เล่นเป็นแบ็คซ้าย ต้องเผชิญหน้ากับเกมรุกทางขวาของ "หงส์แดง" ทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ ที่สลับกันเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง

         ซาเน่ แย่งบอลได้ 6 ครั้งให้กับทีม, เลี้ยงหลบคู่แข่งสองหน, ตัดเกมสองครั้ง และที่สำคัญคือการยิงประตูชัยให้ทีมคว้าสามแต้มสำคัญเพื่อลุ้นแชมป์ต่อไป

         ประตูในเกมนี้ถือเป็นลูกที่เจ็ดของเจ้าตัวในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ หลังจากที่ซีซั่นที่แล้วยิงไปเพียง 10 ประตู ซึ่งเทียบกันแล้วต้องบอกว่าปีนี้น่าจะมีโอกาสทำสถิติแซงหน้าได้ไม่ยาก

         จากการป่วนแนวรับของ "หงส์แดง" อย่างยอดเยี่ยมในที่สุดเขาคือคนที่ทะลวงประตูที่สองให้ทีม ยัดเยียดความปราชัยเกมแรกในฤดูกาลนี้ให้กับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 

แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คือแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก

                

         ต้องยอมรับว่าปีนี้คือฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมของแบ็คซ้ายทีมชาติสกอตแลนด์ ด้วยฟอร์มการเล่นอันแข็งแกร่งจนได้รับการยกย่องให้เป็นแบ็คที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกปีนี้อย่างไม่เคอะเขิน

         ทุกเกมที่เขาลงสนามให้กับต้นสังกัดมักจบลงด้วยคำชมเชยอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ให้กับ แมนฯ ซิตี้ ก็ยังได้รับการยกย่องว่าทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะทั้งสองประตูที่ทีมเสียเป็นการโดนเจาะทางขวา

         ตลอดทั้งเกม โรเบิร์ตสัน รับมือกับการบุกของทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ ดานิโล่ ได้อย่างยอดเยี่ยม แทบไม่มีปัญหาเลยทั้งเรื่องของความเร็วและความแข็งแกร่งผสมผสานกันอย่างลงตัวที่สุด

         การขึ้นเกมรุกก็ช่วยสนับสนุนเพื่อนได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงสภาพร่างกายที่มีความฟิตระดับสูง วิ่งขึ้นลงได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย

         รับก็แน่น รุกก็ดี ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ โรเบิร์ตสัน จะถูกยกให้เป็นเบอร์หนึ่งของลีกในตำแหน่งของเขาเอง และในวัย 24 ปี มั่นใจได้เลยว่าเขายังพัฒนาได้ยิ่งกว่านี้อีก

ขุมกำลังอันน่าอิจฉาของทัพเรือใบ

                

         เกมที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเฉพาะในตำแหน่งแบ็คทั้งสองฝั่งที่ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ตัวจริงทั้งคู่

         ทางขวา ดานิโล่ ได้โอกาสลงสนามในขณะที่ตัวจริงอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์ เป็นสำรอง ส่วนอีกฝั่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือก อายเมอริก ลาปอร์กต์ ทำหน้าที่ เพราะ ฟาเบียน เดลฟ์ ติดโทษแบน ซึ่งอันที่จริงแล้วทั้งคู่ไม่ได้เล่นในตำแหน่งนี้ ตัวจริงเป็น เบนฌาแม็ง เมนดี้ ที่ปัจจุบันมีอาการบาดเจ็บเล่นงาน

         ยังไม่รวม เควิน เดอ บรอยน์ ที่ด้วยสภาพร่างกายยังไม่เต็มที่เท่าไรนักหลังจากที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานในฤดูกาลนี้ พ่วงด้วย ริยาด มาห์เรซ ที่พร้อมลงมาทำหน้าที่หากทั้ง ซาเน่ และ สเตอร์ลิ่ง ฟอร์มไม่ดี เช่นเดียวกับ กาเบรียล เชซุส กองหน้าที่ฝีเท้าถือว่าไม่ธรรม เช่นเดียวกับ อิลคาย กุนโดกัน ในแผงมิดฟิลด์

         หรือในยามที่ทีมตามหลังและต้องการบุกเต็มสูบ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พร้อมที่จะถอดกองกลางหรือแม้กระทั่งกองหลังออกเพื่อเปิดทางให้ทีมได้รุกอย่างเต็มสูบได้

         เป็นขุมกำลังที่น่าอิจฉากหรือต้องบอกว่านักเตะที่เปลี่ยนลงสนามไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของเกมน้อยลงไปเลย ถือว่าแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งด้วยซ้ำ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด