:::     :::

มันจบแล้วนาย! 6เหตุผลที่ราเยวัชสมควรไป

วันจันทร์ที่ 07 มกราคม 2562 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
5,432
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นัดล่าสุดที่ทีมชาติไทย พ่ายต่อ อินเดีย แบบราบคาบ 1-4 ในศึกเอเชียนคัพ 2019 ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่การเชียร์ทีมช้างศึกเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและอัดอั้นตันใจ มีเครื่องหมายคำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่าการตกรอบรองชนะเลิศเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ มาพูดตอนเกมจบไปแล้วอาจจะดูเป็นพวกเก่งหลังเกมแต่ทุกกระแสไม่ว่าจะโค้ช,นักเตะ และแฟนบอลต่างเห็นไปในทางเดียวกันหมด วันนี้ผมขออนุญาตระบายออกมาผ่านตัวหนังสือว่ากุนซือชาวเซิร์บ ทำอะไรผิดไปบ้างในเกมดังกล่าว และสมควรแค่ไหนที่สมาคมต้องสั่งยุติบทบาททันที

การตัดตัวผู้เล่น 

ถ้าจำกันได้จากชุดซูซูกิ คัพ คนที่ถูกตัดออกคือตัวริมเส้นธรรมชาติเกือบทั้งหมดทั้ง นูรูล ศรียานเก็ม, มงคล ทศไกร, ปกรณ์ เปรมภักดิ์, เควิน ดีรมรัมย์ และ ราเยวัช เลือกเสริมกองหน้าอย่าง สิโรจน์ ฉัตรทอง เข้ามา ผมเคยสัมภาษณ์โค้ชหลายๆ คน ที่คาดการณ์ว่า ราเยวัช อาจจะปรับแผนการเล่นจาก 4-4-2 มาเป็นการยืนแบบ 4-4-2 ไดมอนด์ หรือ 3-5-2 เพราะน่าจะไม่ใช้ผู้เล่นตำแหน่งปีก แต่พอถึงหน้างานกลับกลายเป็นว่าจับกองหน้าตัวเป้าอาชีพอย่าง อดิศักดิ์ ไกรษร และ ศุภชัย ใจเด็ด ไปยืนริมเส้นซะอย่างนั้น ทีมชาติไทยจากเคยได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีเกมรุกริมเส้นอันตราย ด้วยความเร็วและการสอดขึ้นไปหาช่องทำประตู แปรสภาพเป็นทีมที่ปีกมีหน้าที่เก็บบอลและไร้ซึ่งความเร็วในการกดดันแบ็คคู่ต่อสู้ไปโดยปริยาย 


ใช้วิงแบ็คขึ้นบุกพร้อมกัน2ข้าง

เป็นเรื่องเดิมๆ ที่มีบทเรียนมาแล้วสมัย "โค้ชซิโก้" ทำทีม คือการใช้แบ็คที่มีสไตล์ดันสูงเพื่อเติมเกมรุกพร้อมกันทั้งสองข้างจนถูกสวนกลับ ปล่อยให้คู่เซนเตอร์ 2 คนต้องรับภาระหนัก ซึ่ง ราเยวัช ดูเหมือนจะเคยแก้ปัญหาได้ในช่วงแรกที่เข้ามาคุมทีมด้วยการใช้งาน อดิศร พรหมรักษ์ หรือ มิก้า ชูนวลศรี ไปยืนแบ็คและสามารถหุบเข้ามายืนเป็นเซนเตอร์ตัวที่ 3 ได้ หากวิงแบ็กซ้ายขึ้นไปเติมเกมรุก ทว่าในทัวร์นาเม้นท์นี้หนังม้วนเดิมก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง เพราะทั้ง ทริสตอง โด หรือ ธีราทร มักจะเติมเกมรุกขึ้นไปพร้อมกันเกินครึ่งสนาม และรู้อยู่แก่ใจว่า อินเดีย เป็นทีมที่เล่นเคาน์เตอร์แอทแทคได้ดีและใช้โอกาสไม่เปลือง แต่ก็ปล่อย ให้คู่ต่อสู้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่หลังแบ็คทั้งสองข้างในการโต้กลับได้อย่างสะดวกโยธินตลอดทั้งเกม


ภาพเดิม กรรมการคนเดิม ผลลัพธ์แย่กว่าเดิม

ไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับ

ดูจากไลน์อัพ น่าสนใจทีเดียวที่ได้เห็น ชนาธิป สรงกระสินธุ์, สรรวัชญ์ เดชมิตร และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ลงเล่นพร้อมกันในแดนกลาง แต่เดี๋ยวก่อน ราเยวัช เลือกจัดแท็กติกให้ สรรวัชญ์ ยืนต่ำสุดทั้งที่ไม่ใช่บทบาทตามธรรมชาติของตัวเอง ลูกทีเด็ดในการแทงทะลุช่องหายไป การลองยิงไกลที่แทบไม่เคยเห็นจาก "แคมป์" ในระดับสโมสรดันมาเกิดขึ้นในเกมนี้เพราะตำแหน่งการยืนอยู่ห่างจากหน้าประตูคู่ต่อสู้มากเกินไป เห็นได้ชัดว่าจ็อบของแต่ละคนไม่ชัดเจน เวลาเล่นเกมรุกทั้ง 3 คนยืนใกล้กัน และทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการเล่นบอลเป็นกลุ่มและลำเลียงบอลด้วยการทำชิ่งสั้น แต่บอลไปไม่ถึงพื้นที่อันตรายเพราะขาดตัววิ่งพุ่งขึ้นไปรับบอล แถมในจังหวะเกมรับไม่มีใครที่ทำหน้าที่ปัดกวาดก่อนถึงกองหลังได้เลย จังหวะตัดบอลของ "นิว" ไม่เป็นธรรมชาติ ใช้การสไลด์และพุ่งเข้าใส่ ไม่ใช่การแท็กเกิ้ลหรือดักทาง ผิดกับฝั่งอินเดียที่หมายเลข 15 และ 14 แข็งแกร่งมากจนทำให้จังหวะเก็บตกแถวสองเป็นของอินเดียแทบทั้งหมดในครึ่งหลัง


ใช้ชนาธิปไม่เป็น

เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็น่าจะรู้ว่าตำแหน่งและบทบาทที่ดีที่สุดของ ชนาธิป คือตัวรุกอิสระที่ต้องให้มีพื้นที่ในการสร้างสรรค์เกมอยู่ด้านบน ไม่ใช่ให้ลงมาไล่บอลจากคู่ต่อสู้ตั้งแต่ในแดนตัวเอง ตอนที่เล่นให้ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ปีแรกที่โค้ชยังเป็น ชูเฮ โยโมดะ "เจ" ก็เคยเจอปัญหานี้คือขาดตัวซัพพอร์ทในการเล่น คือต่อให้เลี้ยงเก่งแค่ไหน แต่ถ้าผ่านตัวที่หนึ่ง ตัวที่สองไปแล้ว มองซ้ายมองขวายังหาเพื่อนที่วิ่งทะลุขึ้นมาไม่เจอ ก็คงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าจ่ายแปะใกล้ๆ หรือถ่ายบอลออกด้านข้าง นัดนี้มีอยู่ 2-3 ครั้งที่ "เจ" มีโอกาสจ่ายทะลุสวยๆ ให้ ธีรศิลป์ หรือ อดิศักดิ์ ในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังโค้ชอินเดียแก้เกมได้ดี จน ชนาธิป แทบไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ระยะ 20 หลา บทบาทที่ทำให้เขาได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของเจลีก คือการพุ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ เสมือนกองหน้าตัวที่สองตัวที่สาม และหาโอกาสยิงประตูเองหรือแทงทะลุให้เพื่อน แต่ไม่น่าเชื่อว่าในยุคของ ราเยวัช เขาแทบไม่มีโอกาสได้เข้าไปเล่นในกรอบ 18 หลาเลย ยิ่งเกมกับอินเดีย ไม่แม้แต่ครั้งเดียวที่ ชนาธิป จะได้เข้าไปเล่นใกล้กรอบเขตโทษคู่แข่ง และในที่สุดผลก็จบเหมือนเดิม คือ ราเยวัช เปลี่ยน ชนาธิป ออกอีกแล้ว เอาเป็นว่าตั้งแต่กุนซือคนนี้เข้ามาคุมทีม ยังนึกไม่ออกว่ามีเกมไหนที่ใช้ ชนาธิป ครบ 90 นาทีเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ชื่อของ ชนาธิป หรือ ธีรศิลป์ ถ้ามีอยู่ในสนามอย่างน้อยยังไงก็ยังใช้ข่มคู่่ต่อสู้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

จัดแท็กติกตามใจนายจ้าง

แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่สมัยคุมทีมชาติกานา แท็กติกของ ราเยวัช คือการตั้งรับแล้วรอสวนกลับโดยใช้จังหวะให้น้อยที่สุด เล่นเกมรับในแดนตัวเองให้ช้า แล้วเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นในพื้นที่ของคู่ต่อสู้ วิธีการนี้ล้มเหลวในเกมระดับอาเซียน อาจด้วยข้อจำกัดของศักยภาพและคุณสมบัติของผู้เล่นในตอนนั้น แต่หลังจากตกรอบรองชนะเลิศซูซูกิ คัพ ด้วยกลยุทธตั้งรับใส่ทุกทีม นายกสมาคมมีประกาษิตคำสั่งให้ทีมชาติไทยต้องเล่นเกมรุกมากขึ้นในเอเชียนคัพ ผลปรากฎว่าพังพาบอย่างที่เห็น ไลน์การยืนระยะของกองหลัง กองกลาง และ กองหน้า ยืนกันห่างมาก พอเจออินเดียใช้ความแข็งแรงเข้าเพรสซิ่งเร็ว ทำเอาผู้เล่นไทยเสียบอลกันง่ายๆ หลายต่อหลายครั้ง แนวรับผ่านบอลไปถึงไลน์แดนกลางไม่ได้ แดนกลางก็จ่ายทะลุไปให้ไลน์แดนหน้าที่ มี ธีรศิลป์ ยืนหันหลังให้ประตูคู่แข่งอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะโดดเดี่ยวเหลือเกิน แล้วจะไปหวังอะไรกับการเล่นเกมรุกที่เหมือนไม่ได้ซ้อมรูปแบบกันมา ใครเป็นคู่แข่งก็รับมือไม่ยากเพราะหลับตายังเห็นภาพ เกมรุกของทีมชาติไทยคืออะไร จ่ายให้กองหน้าเก็บบอล แล้วออกปีกด้านข้าง แล้วปีกแตะคืนให้แบ็คที่เติมเข้ามาครอส ถ้าเปิดไม่ได้หรือเปิดติดก็จ่ายให้แถวสองยิงไกล มันวนอยู่อย่างนี้ คู่แข่งแค่ระวังอย่าให้ชนาธิปหรือสรรวัชญ์แทงทะลุหรือใช้ความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงไปถึงพื้นที่อันตราย เกมรุกของไทยก็จบ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของทีมชาติไทยก็คือลูกตั้งเตะ มันมีอยู่เท่านี้เอง แม้กระทั่งนักเตะที่เคยติดทีมชาติชุดนี้ยังบ่นให้ฟังว่า การซ้อมมีแต่รับแล้วสวน กับซ้อมเซ็ตพีชจังหวะรุกและรับ ยังไม่มีการซ้อมเข้าทำที่เป็นแพทเทิร์นอะไรเลย


ใช้ผู้เล่นผิดธรรมชาติ

เอาแบ็กซ้ายไปยืนกองกลาง กองหน้าตัวเป้าไปยืนปีก มิดฟิลด์ตัวรุกไปยืนตัดเกม จนกระทั่งเอากองหน้าไปยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ศรัทธาในตัวของกุนซือวัย 65 ปี หมดสิ้นลงอย่างสิ้นเชิง คือการเปลี่ยน สิโรจน์ ฉัตรทอง ลงไปแทน ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ในนาทีที่ 72 ในขณะที่ที่ทีมชาติไทยสกอร์ตามหลังอยู่ 1-3 แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งที่ "ปีโป้" ถูกมอบหมายคือ มิดฟิลด์ตัวรับ ทั้งที่คนทั้งประเทศรู้ว่า จุดเด่นของ "ปีโป้" คือสรีระร่างกายที่แข็งแกร่ง สามารถวิ่งเบียดไุถคู่ต่อสู้ไปข้างหน้าเพื่อกินแดนหรือเรียกฟาวล์ได้ ผมไม่ได้แปลกใจที่ส่ง "ปีโป้" ลงสนาม ถ้าเป็นการเปลี่ยนแทน ศุภชัย ใจเด็ด หรือ อดิศักดิ์ ไกรษร ที่เริ่มหมดและหายไปจากเกม หรือแม้แต่หากส่งเพื่อเพิ่มชอยส์ในแนวรุก แต่การเปลี่ยนผู้เล่นที่สามารถสร้างสรรค์เกมรุกหรือทำประตูได้อย่าง ชนาธิป ออก แล้วแทนที่ด้วยนักเตะที่ดูก็รู้่ว่าตำแหน่งที่ลงไปเล่นไม่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนในแง่บวกอะไรให้ทีมได้ในสถานการณ์แบบนั้น ผมเชื่อว่าแฟนบอลทั้งประเทศคงช็อคตาตั้ง และไม่เข้าใจว่าในสมองของ ราเยวัช กำลังคิดอะไรอยู่ ในเกมระดับนี้ กับสถานการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่สนามเด็กเล่นให้ทดลองอะไรบ้าๆ บอๆ ตามใจชอบ 


ส่วนเรื่องตำแหน่งผู้รักษาประตู ที่คนวิจารณ์กันเยอะ จุดนี้คงโทษราเยวัชไม่ได้เต็มปากเพราะการที่ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ บาดเจ็บจนพลาดทัวร์นาเม้นต์ใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เห็นได้ชัดว่า ฉัตรชัย บุตรพรม นั้นประสบการณ์ในเกมระดับชาติยังไม่มากพอที่จะสร้างความมั่นใจให้แผงแนวรับได้ แทบทุกเกมมีจังหวะผิดพลาดง่ายๆ ให้เห็น และจุดที่เคยทำได้ดีกับสโมสรอย่างการออกบอลเร็วเพื่อสวนกลับนั้นกลับไร้ความแม่นยำ 4 ประตูที่เสียไปอาจโทษ "บอย" ได้ไม่เต็มที่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผู้รักษาประตูของเราออกบอลชัวร์ๆ หน่อยคงได้เห็นเกมโต้กลับที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ซึ่งคอลูกหนังต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน เป็นนายด่านที่ออกบอลเร็วได้เปรียบมากที่สุดในประเทศไทยตอนนี้


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด