ตำนานแห่ง"เทพนิยายช้างศึก"ภาคปฐมบท
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลุ่มกองทัพช้างศึก ได้เข้าสู่สมรภูมิรบใหญ่ท่ามกลางความเคลือบแคลงใจในตัวแม่ทัพที่มาจากแดนไกล ว่าจะพาพวกเขาต้านทานศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ที่มีชื่อว่าเอเชียนคัพ 2019 ได้หรือไม่ เพราะศึกก่อนหน้านี้ แม่ทัพไม่เคยทำให้พวกเขาเชื่อมั่นได้เลยว่าการซ้อมรบและกลยุทธ์การศึกรวมถึงอาวุธที่มีนั้นลับคมมาเพียงพอเพื่อต่อกรกับศัตรู ศึกแรกของพวกเขาคือทัพจากชมพูทวีป ที่เตรียมการมาเป็นอย่างดี เดินทางมาถึงสมรภูมิรบเป็นทัพแรก และที่น่ากลัวคือ พวกเขาถูกประเมินสรรพกำลังไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
และแล้วข้อกังวลใจนั้นก็เป็นจริง ขุนพลช้างศึกพลิกพ่ายตั้งแต่เริ่มศึกแรก มันเป็นความปราชัยแบบหมดสภาพที่สุดเหลือคณากว่าที่ใครจะคาดคิดเอาไว้ อาจเพราะความเลินเล่อของแม่ทัพ ที่ดันทะลึ่งจับพลธนูไปอยู่กองเสบียง จับพลม้าไปขี่ช้าง จับพลดาบไปถือปืน เลยเถิดไปจนถึงสั่งปลดขุนศึกเบอร์หนึ่งที่กำลังพยายามฝ่าด่านเข้าไปเพื่อบั่นคอคู่ต่อสู้ออก ทั้งที่สถานการณ์กำลังเพลี่ยงพล้ำ แล้วแทนที่ด้วยนักรบร่างใหญ่ แต่เจ้ากรรม ดันไม่ติดอาวุธใดๆ ให้เขาลงไปสู้
ท่ามกลางสภาพจิตใจและร่างกายที่บอบช้ำหลังพ่ายศึกแรก ประชาชนส่วนใหญ่มิได้กล่าวโทษ เพราะรู้ดีว่าขีดความสามารถที่แท้จริงของนักรบช้างศึกนั้น ถูกกดเอาไว้ด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราวของแม่ทัพเฒ่าในการวางยุทธศาสตร์ให้เหมาะกับขุมกำลังที่่มี เรื่องนี้รู้ไปถึงหูผู้ครองแผ่นดินจนอยู่เฉยไม่ได้ เพราะความพ่ายแพ้ซ้ำซากนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกประชาชนออกมาขับไล่ จึงเรียกเหล่าเสนาบดีพร้อมขุนศึกหลักเข้าหารือ ซึ่งมติออกมาเป็นเอกฉันท์ว่า หากปล่อยให้แม่ทัพเฒ่าอยู่บัญชาการศึกต่อไป ความพินาศย่อยยับคงจะยิ่งทวีคูณ
ท่ามกลางสมรภูมิที่กำลังเดือด พวกเขาเลือกรองแม่ทัพสองนาย ขึ้นมาสุมหัวบัญชาการแทนแม่ทัพเฒ่า แน่นอนล่ะว่าทั้งสองไม่ได้มีกลยุทธ หรือประสบการณ์ผ่านศึกใหญ่มามากเท่าคนเก่า แต่ที่พวกเขามีคือความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวขุนศึก และุเหล่าขุนศึกก็ทุ่มใจให้พวกเขา อาจเพราะพูดจาภาษาเดียวกัน และที่สำคัญที่สุดรองแม่ทัพรู้ดีว่าขุนศึกที่มีอยู่ นั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง เพราะ พลม้าต้องขี่ม้า พลธนูต้องจับธนู นักดาบต้องถือดาบไม่ใช่เอาไปใช้ทำหอกหัก
รองแม่ทัพที่1 เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ฟังความคิดเห็นคนรอบข้าง แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวยามตัดสินใจ ขณะที่รองแม่ทัพที่2 เป็นคนอ่อนไหว มีความมั่นใจในตัวเองสูง บางครั้งถึงขั้นหัวแข็ง แต่สามารถชนะใจขุนศึกได้เพราะคอยอยู่ข้างพวกเขาเสมอทั้งยามสุขและเศร้า ทั้งหัวเราะและร้องไห้ อาจเป็นความบังเอิญที่ลงตัว ที่คนหนึ่งอ่อนคนหนึ่งแข็ง ทำให้ไปด้วยกันได้ดีเกินคาด
ศึกที่สองของทัพช้างศึก ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาต้องพิฆาตศัตรูสุดแกร่งจากดินแดนแห่งเกาะทะเลทรายให้จงได้ มันเป็นงานหนักที่ยากยิ่งกว่าศึกครั้งก่อน ซินแสทุกอาณาจักรต่างทำนายทายทักว่า ทัพช้างศึกจะไม่รอดพ้นความปราชัย แต่มีกลุ่มคนที่ไม่เชื่อเช่นนั้น นั่นคือขุนศึกทั้ง 23 รายและคณะเสนาธิการกองทัพ รวมถึงประชาชนที่ศรัทธาในตัวนักรบของพวกเขา
ชัยชนะอาจเหนือความคาดหมาย แต่ไม่ได้เกินกำลัง ขุนพลทัพช้างศึก ลบคำสบประมาทด้วยหัวจิตหัวใจที่แกร่งกล้า ทุ่มเทหยาดเหงื่อและแรงกาย ฝ่าด่านศึกนี้ไปได้อย่างน่าประทับใจ นอกเหนือจากชัยชนะแล้ว สิ่งสำคัญกว่าคือ ณ ขณะนี้ หัวใจของขุนพลช้างศึกกำลังพองโต และเชื่อมั่นในความฉกาจฉกรรจ์ของตัวเอง การกลับมาสู้ในรูปแบบกลยุทธที่ไม่ต้องซับซ้อน แต่เรียบง่ายและเป็นตัวของตัวเอง อาจเป็นทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับยามนี้ Simple is the best.
ศึกที่ 3 ของทัพช้างศึก ต้องเผชิญกองทัพมหาเศรษฐีน้ำมันเจ้าของดินแดนเอเชียนคัพครั้งนี้ แม้ขุนศึกในแนวป้องกันจะต้องหลั่งเลือดตั้งแต่ต้น แต่ก็ช่วยกันต้านทานกันไว้ได้เป็นอย่างดีจนจบการศึก และนั่นเพียงพอต่อการทำให้พวกเขาได้อยู่ในสมรภูมิต่อไป
ในขณะที่อีกคู่ ทัพชมพูทวีปเพลี่ยงพล้ำในศึกตัดสิน ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นทั้งทัพแรกที่มาถึงและทัพแรกต้องกลับสู่มาตุภูมิ หาใช่ทัพช้างศึกที่พวกเขากำราบมาได้ในศึกแรกแต่อย่างใด
ณ ตอนนี้ประชาชนต่างพากันโห่ก้องร้องยินดี กับแสนยานุภาพที่นักรบของพวกเขาได้แสดงให้ชาวโลกได้เห็น ศึกที่รออยู่ครั้งต่อไป ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับกองทัพจากแผ่นดินใหญ่ หรือจากคาบสมุทรเกาหลี พวกเขาก็ไม่หวั่นเกรง และพร้อมเข้าสู่สมรภูมิเพื่อสร้างตำนานช้างศึก ให้เป็นที่กล่าวขานไปตราบนานเท่านาน อีกไม่นานนี้ เราก็จะได้รู้กันว่าเทพนิยายช้างศึกเรื่องนี้ จะจบลงอย่างไร แต่หวังอยู่ลึกๆ ว่าจะเป็นการปิดตำนานแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งของพวกเรา