:::     :::

สาเหตุที่ไทยแพ้ และปรากฎการณ์ล่าแม่มด

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
5,509
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความพ่ายแพ้ของทีมชาติไทยต่อจีน 1-2 ในศึกเอเชียนคัพ 2019 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ไม่ถือเป็นความล้มเหลว เพราะเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพที่ต้องยอมรับว่าเราเป็นรองเขาอยู่แล้ว หลังจบเกมเมื่อวันก่อน ผมได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแข่งขันผ่านทางเพจเฟซบุ๊คของผม เลยขอยกมาให้อ่านในคอลัมน์นี้อีกครั้ง และขอเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ผมมองสาเหตุที่ทีมชาติไทยฟอร์มดร็อปไปในครึ่งหลัง เพราะจีนแก้เกมจากที่ครึ่งแรกเล่นหลัง 4 แต่เจอ ธีราทร และ ทริสตอง โด ขึ้นมาเติมเกมรุกบ่อยครั้ง ครึ่งหลัง มาร์เชลโล่ ลิปปี้ ปรับหมากมาเป็น 3-5-2 เพื่อใช้วิงแบ็คสองข้างขึ้นมากดไม่ให้ อุ้ม และ โด ดันสูงง่ายๆ ได้เหมือนเดิม

ผลก็คือเกมรุกของเราไม่สามารถเซ็ตบอลในแดนกลางได้ เพราะเหลือเพียง ชนาธิป, ธีรศิลป์ และ ศุภชัย เท่านั้นที่พร้อมเล่นเกมรุก เวลาที่ เจ ได้บอล ทางเลือกในการเล่นมีน้อย เพราะตัวริมเส้นของไทยไม่มีคนเติมขึ้นมาสนับสนุนเหมือนครึ่งแรก ขณะที่ มุ้ย กับ อาร์ม ก็พลิกหันหน้าหาประตูยากมาก เพราะการเซ็ตบอลของไทยจากแดนกลางไม่มี ต้องอาศัยวิ่งถ่างมารับบอลด้านข้างหรือแถวสอง ซึ่งพื้นที่การเล่นอยู่ห่างจากปากประตูของจีน โอกาสสับไกยิงจึงแทบไม่มี

อีกจุดที่ ลิปปี้ มองเห็นคือ กองหลังของไทยมีปัญหากับการรับมือการครอสบอลที่หลากหลายจากริมเส้น กองหลังไทยจะสกัดได้หากมีโอกาสหันหน้าหาบอลและเห็นทิศทางการเคลื่อนที่ของคู่ต่อสู้ แต่หากจีนใช้วิธีคัทแบ็ค, เออร์ลี่ครอส, หรือหักเข้าในแล้วค่อยครอส, กองหลังไทยจะหลุดตัวประกบและมองแต่บอล ปัญหานี้โค้ชก็ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น เพราะต้องเกิดจากการฝึกฝนมาของนักเตะแต่ละคน

การเปิดบอลจากแนวลึกไปในไลน์หลังแบ็ค ระหว่างกองหลังกับผู้รักษาประตูของไทย ก็เป็นวิธีที่ ลิปปี้ เลือกใช้บ่อยครั้งตั้งแต่เริ่มเกม เพราะมองว่ากองหลังของไทยเคลื่อนตัวได้ช้ากว่าแนวรุกของจีน รวมถึงจังหวะการเก็บตกในระยะ 20-30 หลา ไทยไม่สามารถเก็บบอลได้ เพราะผู้เล่นจีนเคลื่อนที่เพรสซิ่งแดนกลางของไทยได้เร็วขึ้นในครึ่งหลัง ไม่เปิดโอกาสให้คิดก่อนเล่น ทำให้บอลไปถึงข้างหน้าไม่ได้เลย

การเปลี่ยน อาร์ม ออกแล้วแทนที่ด้วย ชนานันท์ นอกจากเรื่องใบเหลืองที่ติดอยู่ ผมมองว่าโค้ชต้องการให้มีคนมาเชื่อมบอลด้านข้าง เพราะ ทู สามารถเล่นเป็นกองหน้าริมเส้นได้ จะได้ลงมาช่วยเกมรับทางด้านข้างเพื่อซัพพอร์ทกับอุ้ม แต่ก็ไม่ได้ผลมากนักเพราะบอลยังไปตายในไลน์บนเหมือนเดิม แถมการเปลี่ยนลงมานั้นเป็นช่วงสำคัญที่จีนกำลังโหมหนัก และ ทู เองยังปรับตัวเข้ากับจังหวะเกมไม่ได้มากนัก จนเป็นเหตุให้เชปของทีมมีปัญหา เหตุผลก็คือตัวเล่นเกมรุกเราเหลือน้อย ยิ่งตอนจีนส่งเบอร์ 16 มาเล่นริมเส้นฝั่งซ้ายอีกคน เป็นการกดโดไม่ให้มีโอกาสที่จะเติมถึงสุดเส้นได้อีก


เชื่อว่าโค้ชโต่ยและโค้ชโชคก็รู้ แต่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มาก เพราะตัวเลือก 23 คนไม่มีปีก ทางที่พอมีก็คือเปลี่ยนมาเล่น 4-4-2 ก็คงต้องส่ง กรกช ลงมาแทนกลางซักคน จับมิก้าไปยืนแบ็คขวา แล้วเอาอุ้มกับโด ไปยืนปีกเต็มตัว 


แต่การตามหลัง 1 ประตู โค้ชอาจจะมองว่าถ้าเปลี่ยนฟอร์เมชั่นไปเลย นอกจากจะเสียสมดุลแล้ว หลังแค่2 คนคงโดนจีนโยนบอมบ์เข้าใส่จนโงหัวไม่ขึ้นอยู่ดี เลยยึดระบบเดิม แล้วเสี่ยงให้ โด ขึ้นมาเติมข้างเดียว และปรับให้ มิก้า มายืนซ้อนแทน ซึ่งช่วงท้ายๆ ไทยก็ปรับมาเล่น 4-5-1

ผลจากการแพ้ในเกมนี้ ทำให้มองว่า ไทยเรามีทีเด็ดในเรื่องอินดิวิดวล แต่การเล่นเป็นกลุ่มยังมีประสิทธิภาพไม่มากนัก เพราะขีดจำกัดในการสร้างเกมอยู่ที่ผู้เล่นเพียง 3-4 คนเท่านั้น หากปิดได้สัก 2 คน ไทยก็จะลดพิษสงไปมาก นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้ไทยไม่สามารถไปไกลเกินกว่านี้ได้

เหนือสิ่งอื่นใดความพ่ายแพ้ในเกมนี้คงจะนับเป็นความล้มเหลวไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่าเราเป็นรองจีนแทบทุกด้าน แน่นอนล่ะ เมื่อคนเรามีความหวัง สุดท้ายก็ย่อมมีทั้งสมหวังและผิดหวัง ในความผิดหวังนั้น แต่ละคนมีกลไกการแสดงออกที่ต่างกันออกไป บางคนยอมรับได้เพราะบอลไทยแพ้ไม่ได้ทำให้โลกแตก ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป  แต่บางคนก็เลือกใช้วิธีหาคนผิดมารองรับอารมณ์

แต่สำหรับคำว่าทีมชาตินั้น เชื่อเถอะว่าไม่มีใครอยากเป็นจุดอ่อน หรือเป็นสาเหตุให้ทีมแพ้ นักกีฬาพยายามเต็มที่เท่าที่ศักยภาพของตัวเองสามารถทำได้แล้ว ทุกคนย่อมมีทั้งวันที่ดีและไม่ดี ผมไม่ได้จะแนะนำให้ใครโลกสวยหรือคิดต่าง การตำหนิติเตียนเป็นเรื่องปกติ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีขอบเขต คงไม่ต้องบอกว่าขอบเขตคืออะไร เอาเป็นว่าจะด่าจะว่าอะไรก็เชิญ แต่ควรอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่ใช่ก้าวล่วงลุกล้ำไปในพื้นที่ของคนอื่น 

หรือจะต้องให้มีเคสตัวอย่างสักครั้ง เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เกรียนคีย์บอร์ดที่สำเร็จความใครผ่านตัวอักษรจะได้เพลาลงบ้าง และรู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่นมากกว่านี้ 

ถ้าถูกใครด่า หรือใส่ร้ายผ่าน Facebookก็ฟ้องดำเนินคดีหมิ่นประมาท ด้วยกฏหมายมาตรา ๓๒๘ ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท 

เอาเป็นว่า ขอให้แต่ละคนรู้หน้าที่ของตัวเอง กองเชียร์มีหน้าที่เชียร์ จะผิดหวังหรือสมหวังจะด่าจะว่ายังไง เราก็เป็นคนไทยตั้งแต่เกิดไปจนตาย พอบอลเตะก็เชียร์อยู่ดี ผมเชียร์ลิเวอร์พูล ผิดหวังมา 20 ปียังไม่เคยไปตามด่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตอนที่ลื่นล้มเลย (555) เต็มที่ก็แค่สบถดังๆ ออกมาแค่นั้นแหละ ยังไงขอให้ทุกคนเชียร์กีฬาให้มีความสุข อย่าเอาความทุกข์มาใส่สมองกันอีกเลยครับ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})