:::     :::

เบ็ดเสร็จและเด็ดขาด

วันจันทร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2562 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,823
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชัยชนะเหนือ อาร์เซน่อล 3-1 ของทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ใช่เพียงแค่สามคะแนนธรรมดา แต่มันคือฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในแบบที่ควรจะเป็น

         นี่คือหนึ่งในเกมที่ต้องบอกว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำผลงานได้ดีที่สุดในซีซั่นนี้เลยก็ว่าได้

         จากความพ่ายแพ้อันแสนจะน่าผิดหวังจากเกมกับ นิวคาสเซิ่ล ยังดีที่สถานการณ์ไม่เลวร้ายเกินไปเมื่อผู้นำอย่าง ลิเวอร์พูล ทำได้แค่เสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ ความห่างของคะแนน 5 แต้มยังเรียกได้ว่าไม่ไกลจนเกินไปนัก

         แน่นอนว่าแฟนบอลอยากเห็นว่าทีมรักจะกลับมาได้รึเปล่าเพราะคู่ปรับไม่ใช่ทีมธรรมดาทั่วไป แต่คือ อาร์เซน่อล ที่มีทีเด็ดเหนือกว่า "สาลิกาดง" ที่โค่นพวกเขาลง

         แต่เกมนี้ ซิตี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความพ่ายแพ้ในเกมที่ผ่านมาเป็นเพียง "อุบัติเหตุ" ที่เกิดขึ้นได้ในเกมลูกหนัง แม้ว่าช่วงหลังจะเกิดบ่อยไปหน่อยก็ตามที


         ความพ่ายแพ้ 4 จาก 9 เกมหลังในลีกก่อนปะทะ "ปืนใหญ่" ไม่ใช่เรื่องปกติเลยสำหรับทีมที่ลุ้นแชมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศักยภาพในเกมรุกของทีมสีฟ้าเมืองแมนเชสเตอร์ต้องบอกว่าดีกว่าทุกทีมในลีก เพราะถ้าตัวจริงทำไม่ได้ ตัวสำรองก็พร้อมลงแก้ไขสถานการณ์ได้

         เท่ากับว่าจนถึงตอนนี้ ซิตี้ แพ้มากกว่าเมื่อซีซั่นที่แล้วถึงเท่าตัว แน่นอนว่านับจากนี้ไปทีมไม่ควรจะทำแต้มหล่นอีกต่อไปหากหวังเบียดลุ้นแชมป์ไปจนถึงบั้นปลายซีซั่น

         เกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงมีความสำคัญที่ทัพเรือใบจะพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ในขณะที่ทางฝั่งผู้มาเยือนต้องการแต้มเพื่อลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

         เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจให้ เลรอย ซาเน่ เป็นแค่สำรอง พร้อมเอา ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ไปเล่นเกมรุกทางซ้าย ทางขวาเป็น แบร์นาร์โด้ ซิลวา โดยมี เซร์คิโอ อเกวโร่ ยืนกองหน้าตัวเป้า ส่วนแดนกลาง ดาบิด ซิลบา ประสานงานกับ อิลคาย กุนโดกัน และ เควิน เดอ บรอยน์

        

         แนวรับตามระบบวาง ไคล์ วอล์คเกอร์ ทางขวา ทางซ้ายเป็น อายเมริก ลาปอร์กต์ ส่วนคู่เซนเตอร์ นิโกลัส โอตาเมนดี้ จับคู่กับ แฟร์นันดินโญ่ โดยมี เอแดร์ซอน เฝ้าเสา

         แต่ต้องยอมรับว่าด้วยระบบการเล่นของนายใหญ่ชาวสเปนมีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในการเล่นเกมรุก ไม่นับผู้รักษาประตูทั้ง 10 คนที่เหลือสามารถขยับขึ้นมาถึงแดนคู่แข่งและกดดันเอาประตูได้เป็นอย่างดี

         ดังนั้นยามเล่นเกมรับเราอาจจะเห็นการยืนตามตำแหน่ง แต่พอทีมเปิดเกมรุกนั้นจะมีการขยับเอา ลาร์ปอร์กต์ เข้ามายืนคู่เซนเตอร์กับ โอตาเมนดี้ พร้อมกับที่ แฟร์นันดินโญ่ ขึ้นไปเป็นมิดฟิลด์อีกคน นั่นช่วยให้ทั้ง ซิลบา และ เดอ บรอยน์ สามารถหนุนขึ้นไปเสริมไม่ว่าจะริมเส้นหรือเข้ากลาง สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับคู่แข่งที่ต้องรับมือกับแนวรุกมากกว่า 6 คน

         อาร์เซน่อล เองก็ไม่มีข้อยกเว้น


         และแค่นาทีแรกการบีบเกมเร็วของฝั่งเรือใบมาทั้งความผิดพลาดของ อเล็กซ์ อีโวบี้ แต่ก็ต้องชมการบีบเกมสูงของทางเจ้าบ้านเช่นกันที่ อายเมริก ลาปอร์กต์ แย่งได้ก่อนเปิดให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ พุ่งโหม่งติดแขน แบร์นด์ เลโน่ นิดนึงแต่บอลยังเข้าประตู

         ถือเป็นการออกสตาร์ทอย่างยอดเยี่ยมและทุกอย่างเข้าทางฝั่งเรือใบไปหมด เพียงแต่ทีมต้องมาเสียประตูตีเสมอจากลูกตั้งแต่ที่ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ ที่โขกจ่อๆเข้าไป

         ดูเหมือนว่าประตูนี้จะทำให้ อาร์เซน่อล คึกคักขึ้นมาอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเกมแทบจะอยู่ที่ฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ที่บุกอยู่แทบจะข้างเดียว

         ความหลากหลายในการขึ้นเกมรุกที่แผงกองกลางล้วนแล้วแต่สร้างสรรค์เกมได้ทุกคนทั้ง แฟร์นันดินโญ่, ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์ หรือริมเส้นก็ยังมี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่สลับกันนวดทีมเยือนอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เจาะไม่เข้าแค่นั้น


         โดยรวมถือว่าทาง อาร์เซน่อล มาเล่นเกมรับได้ดีกว่าที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะด้วยสภาพที่เป็นรองทำให้พวกเขาต้องเล่นแบบรัดกุมแล้วอาศัยความเร็วของ ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมย็อง และ อเลซ็องด์ ลากาแซ็ตต์ ในการสวนกลับ ซึ่งโดยปกติทีมของ อูไน เอเมรี่ จะเปิดเกมบุกเข้าใส่คูแข่งเป็นส่วนใหญ่ เกมรับก็เลยมีช่องให้คู่แข่งฉกฉวยอยู่เสมอ

         ต่างจากเกมนี้อย่างสิ้นเชิง

         แต่หลังจากที่บุกหาช่องไปเรื่อยๆก็มาสัมฤทธิ์ผลในช่วงเวลาที่เหมาะสมในท้ายครึ่งแรก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่รับบอลจากจังหวะตักเข้าเขตโทษด้านซ้ายของ อิลคาย กุนโดกัน ก่อนเปิดมาหน้าประตูบอลเลยมาเสาสอง เซร์คิโอ อเกวโร่ อยู่คนเดียวไม่ต้องทำอะไรมากแค่แตะบอลให้เข้าประตูเท่านั้น

         ถือเป็นประตูที่ทำให้สถานการณ์ของทั้งสองทีมต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

         จากเกมที่เหนือกว่าเยอะอยู่แล้ว ซิตี้ กลับมาลงเล่นในครึ่งหลังพร้อมสกอร์ที่ได้เปรียบ ซึ่งมองจากสถานการณ์ควรจะเป็น อาร์เซน่อล ที่พยายามบุกเพื่อทวงประตูคืน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นเหมือนในครึ่งแรกไม่เปลี่ยนแปลง


         แถมจะบอกว่าเกมอยู่ในการครอบครองของทางฝั่งเจ้าถิ่นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ 

         อย่าว่าแต่หาโอกาสในการทำประตู แม้แต่การได้บอลก็มีอยู่ไม่มากนัก โดยเฉพาะแนวรุกสามคนทั้ง ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมย็อง, อเล็กซ์ อีโวบี้ และ อเลซ็องด์ ลากาแซ็ตต์ แทบไม่ได้บอลเลย

         ประตูที่สามจากแฮตทริคของ เซร์คิโอ อเกวโร่ ถ้ามองข้ามไปว่ามันน่าจะแฮนด์บอลซึ่งถึงไม่มีประตูนี้ ก็คงต้องบอกว่ายังไง แมนฯ ซิตี้ ก็คงหาช่องเข้าไปทำประตูได้อยู่ดี

         น่าเสียดายที่ แบร์นด์ เลโน่ โชว์จังหวะเซฟหลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่าจังหวะยิงนอกกรอบทั้งหลายไม่ผ่านมือนายทวารชาวเยอรมันเลย สามประตูที่เสียต้องบอกว่าหมดปัญญาจริงๆ


         ต้องบอกว่าเกมรับตรงริมเส้นของทาง อาร์เซน่อล เอาไม่อยู่จริงๆ โดยเฉพาะทางฝั่งขวาที่ สเตฟาน ลิคช์สไตเนอร์ ถูก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เผาจนไหม้เกรียม ไหนจะมี ดาบิด ซิลบา รวมถึง อายเมริก ลาปอร์กต์ ที่เติมมาอยู่เรื่อยๆอีก

         เรียกได้ว่าเกมมันจบตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงของเกมที่ "เรือใบ" ได้ประตูที่สาม เพราะหลังจากนั้นทีมก็ไม่ได้บุกแบบเน้นอะไรเต็มที่ขนาดนั้น ส่วน อาร์เซน่อล ก็เล่นแบบไม่เอาเลย

         ซึ่งความจริง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า น่าจะสั่งให้ทีมยิงมากกว่านี้เมื่อมีโอกาส เพราะในตอนท้ายฤดูกาลนี้ ผลต่างประตูได้-เสียอาจจะมีผลกับการลุ้นแชมป์ก็เป็นได้ แม้ว่าปัจจุบันหลังจากเกมนี้ทีมจะมีประตูบวกมากกว่าทาง ลิเวอร์พูล 5 ลูก พร้อมกับบีบช่องว่างเหลือ 2 คะแนนก่อนที่จ่าฝูงจะลงเล่นในคืนวันจันทร์

        

         ตอนนี้ก็อยู่ที่ทาง แมนฯ ซิตี้ ว่าจะรักษามาตรฐานการเล่นไม่ให้หลุดฟอร์มได้อีกหรือไม่ เพราะการที่ทีมผ่านเข้ารอบทุกรายการแข่งขันในซีซั่นนี้ ทำให้ทีมต้องกรำศึกหนักกว่าทาง ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนนี้ที่โปรแกรมหนาแน่นมีทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ รวมถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็มาแล้ว และศึกชิงถ้วยคาราบาว ลีก คัพกับ เชลซี ด้วย

         หากจัดสรรและโรเตชั่นให้ดี ด้วยศักยภาพของนักเตะในทีมเชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เอาอยู่ได้แน่ เพราะเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วสมัยคุม บาร์เซโลน่า ที่พาทีมกวาดทุกแชมป์ในปีเดียวมาแล้ว

         ก่อนที่จะรอให้ ลิเวอร์พูล พลาด สิ่งแรกที่ต้องทำคืออย่าพลาดจนตัวเองสะดุดหัวทิ่มก่อนก็พอ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด