:::     :::

จบแล้วหรอ? ยังหรอกมันเพิ่งจะเริ่มต้นเอง ... สหายหงส์แดง

วันพุธที่ 06 กุมภาพันธ์ 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
5,231
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วิกฤตศรัทธากำลังปกคลุมไปทั่วใจจิตใจของแฟนลิเวอร์พูลในไทยเวลานี้ ไม่ต่างจากวิกฤตฝุ่น PM2.5

ลิเวอร์พูลยังประสบปัญหาฟอร์มฝืดต่อเนื่อง หลังจากเกมก่อนพลาดท่าเสมอกับเลสเตอร์ ซิตี้ คาแอนฟิลด์ 1-1 ล่าสุดออกไปเยือนโอลิมปิก สเตเดี้ยม ลอนดอน ทำได้แค่เสมอ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กับฟอร์มการเล่นที่ต้องบอกตามตรงว่า ไม่น่าประทับใจเลยซักนิด จนทำให้ตอนนี้ระยะห่างของทีมจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหลือห่างเพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้น จากเดิมที่ก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลมีโอกาสฉีกหนีออกไปถึง 7 คะแนน หากชนะ 2 เกมล่าสุดได้ ที่สำคัญกลางสัปดาห์นี้ แมนฯซิตี้มีโปรแกรมแข่งกับเพื่อนบ้านผู้น่ารักของลิเวอร์พูล อย่างเอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นโปรแกรมพิเศษที่แทรกเข้ามาหลัง ทีมเรือใบสีฟ้าจะต้องเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลคาราบาว คัพอีก ซึ่งถ้าแมนฯซิตี้เอาชนะได้ในนัดนี้จะทำให้พวกเขากลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า(แต่ก็ลงเตะมากกว่า 1 เกม เช่นกัน) ซึ่งตรงนี้ทำให้แฟนๆ ลิเวอร์หลายๆ คนถอดใจ ยกแชมป์ให้แมนฯ ซิตี้ไปเสียแล้ว มันเลวร้ายถึงขั้นนั้นเชียวหรือ ??? หรือนัดนี้เพียงแค่ “การสะดุดชั่วคราว” ของลิเวอร์พูลเท่านั้น ลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมนี้กันครับ


หงส์พิการ

 



             การพักยาวๆ ของลิเวอร์พูลกลับส่งผลเสียมากกว่าผลดีไปเสียอย่างนั้น เหมือนว่าเครื่องที่พวกเขากำลังเดินอยู่อย่างไหลลื่น กลับต้องมาเดินเครื่องแบบผิดจังหวะ และจังหวะเกมของพวกเขาที่เคยมีกลับหายไป มิหนำซ้ำผู้เล่นตัวหลักของพวกเขาที่เป็นที่ตัวหลักหลายๆ คน ก็กลับมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนต้องพลาดการลงสนาม ทั้งกัปตัน(อาแปะ) เฮนโด้ ที่มีอาการบาดเจ็บรบกล้ามเนื้อขึ้นมาดื้อๆ จนไม่ได้ลงสนามในเกมล่าสุด, จีนี่ไวจ์นัลดุม ที่มีอาการบาดเจ็บที่เข่ากำเริบ, เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่เป็นไข้จนพลาดซ้อมไปเกือบสัปดาห์ก่อนที่จะกลับมาผ่านความฟิตด้วยน้ำหนักที่น้อยลงกว่า 4 กิโลกรัม  ด้วยสาเหตุแปลกๆแบบนี้ทำให้ 2 เกมที่ผ่านมาของลิเวอร์พูลนั้นฟอร์มการเล่นของทีมถึงดูตกลงไปอย่างน่าใจหาย ถึงตอนนี้ผมเชื่อว่าหลายๆ คน คงแอบคิดถึงอาแปะ อย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ถึงเขาจะเล่นเกมรุกได้ไม่ถูกใจแฟนบอล แต่เฮนโด้นั้นทำงานหนักเพื่อทีมเสมอ และไม่เคยหยุดวิ่ง ไม่เคยท้อถอยที่จะแย่งบอลกลับมาเพื่อให้ทีมเอากลับไปเล่นเกมรุกใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมในหลายๆครั้งก็ยอมที่จะโดนใบเหลือง ใบแดง ในจังหวะเบรกเกมรุกฝั่งตรงข้าม  ยิ่งเมื่อเทียบกับคนที่ลงมาเล่นแทนอย่างนาบี เกอิต้าในเกมนี้แล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด ว่าเฮนโด้นั้น “สำคัญต่อทีม” ของเจอร์เก้น คล็อปป์มากแค่ไหน โอเคจริงอยู่ว่าเกอิต้าอาจจะยังปรับตัวกับทีมไม่ได้ แต่ความขยันของเกอิต้าในเกมรับกับทีมก็ยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่แฟนบอลแทบทุกคนสงสัยอยู่ ว่าทำไมเสียแล้วถึงไม่ไล่บอล ซึ่งนั่นแตกต่างจากเฮนเดอร์สันอย่างชัดเจน แดนหลังก็เช่นเดียวกัน ตำแหน่งแบ็กขวาที่ถ้าบอกก่อนเริ่มต้นฤดูกาลว่านี่จะเป็นจุดบอดของทีมในฤดูกาลนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนคงส่ายหัว ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่ตอนนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของทีมไปเสียแล้ว จากอาการบาดเจ็บของ 2 ตัวหลังอย่างเทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และโจ โกเมซ ที่สลับกันเล่นตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมา แถมยังปล่อยนาธาเนียล ไคลน์ ออกไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ตอนนี้ลิเวอร์พูลไม่เหลือแบ็คขวาอาชีพแบบจริงจังเลยในทีมชุดใหญ่ ตอนนี้แบ็คขวากลายเป็นบ่อน้ำมันชั้นดีให้ทีมตรงข้ามเล่นงานกันอย่างสนุกสนาน พาลทำให้เกมรุกด้านขวาของทีมบอดไปด้วย เนื่องจากขาดการสนับสนุน ในขณะที่ตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟที่ดูดีมาตลอดก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว อย่างที่ทราบกันว่าโจ โกเมซ บาดเจ็บพักยาวไปแล้ว ขณะที่เดยัน ลอฟเรน ปราการหลังระดับโลก ก็กลับมาจากฟุตบอลโลกในสภาพไม่สมบูรณ์ เล่น 1 เจ็บ 4 คงเหลือแค่ ฟาน ไดจ์ค และโจเอล มาตีป ให้ได้ใช้งาน ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ การประสานงานของทั้งมาตีป และฟาน ไดจ์ค นั้นดูจะไม่เข้ากันเท่าไร ด้วยสไตล์ที่คล้ายคลึงกัน จนบางทีก็เหมือนเกี่ยงกันเล่น เรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้ แฟนๆ คงต้องอดทนและรอคอยจนกว่าผู้เล่นตัวจริงจะคัมแบ็กกลับมานั่นแหละครับ ถึงจริงๆ แล้วกำหนดคัมแบ็กของพวกตัวจริงจะเหลือเวลาอีกไม่เท่าไร แต่ก็ดูเหมือนว่ามันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ยิ่งเมื่อเทียบกับผลงานของตัวสำรองตอนนี้ ยิ่งรู้สึกว่านานผิดปกติไปเสียอย่างนั้น



ขุนค้อน ไม่หมู




             
ถึงเกมนัดเปิดฤดูกาลลิเวอร์พูลจะถล่มเวสต์แฮมไปได้อย่างขาดลอย 4-0 แต่จริงๆแล้วเราสามารถสัมผัสได้อยู่แล้วครับ ว่าขุมกำลังของเวสต์แฮมและมันสมองของมานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือดีกรีแชมป์พรีเมียร์ลีกนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเกมแรกที่เจอกันนั้นด้วยความที่เวสต์แฮมมีผู้เล่นใหม่เกือบจะทั้ง 11 ตำแหน่ง ทีมก็ยังไม่เข้าที่เท่าที่ควร  แต่กับ ณ เวลานี้ มันไม่ใช่แบบนั้นแล้วครับ  เวสต์แฮมทีมนี้ไม่ธรรมดาและน่ากลัวไม่น้อย หลายๆ ทีมเช่น อาร์เซน่อล หรือแมนฯ ยู ก็เคยเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่นี่ให้เห็นมาแล้ว ถึงจะโดนทำประตูนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาเล่นอย่างอดทน และตอบโต้ได้น่ากลัวมากๆ เพราะเปเยกรินี่นั้น ก็พอจะเห็นได้ครับ ว่าตอนนี้ลิเวอร์พูลนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหนียวแน่นเหมือนเดิม พวกเขาเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ว่ากันตรงๆ ถ้าถามว่าใครเป็นผู้ที่สมควรเป็นผู้ชนะในเกมนี้มากกว่ากัน ทางฝั่งเจ้าบ้าน ยังดูเป็นฝ่ายน่าเสียดายมากกว่าเสียอีกครับ จากการที่เก็บได้เพียงแค่แต้มเดียวเพราะพลาดโอกาสเหน่งๆ ไปหลายครั้ง หลายหน ถึงหลายๆ คนจะผิดหวังกับผลการแข่งขัน และเหมือนว่าสถิติต่างๆ ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะข่มใส่เวสต์แฮม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้องบอกตามตรงว่า ลิเวอร์พูลค่อนข้างโชคดีแล้วครับ ที่เอาตัวรอดมาจากสนามแห่งนี้ได้สำเร็จ เหมือนที่คล็อปป์ให้สัมภาษณ์ไว้หลังเกมว่า นี่เป็น 1 คะแนนที่เขาคิดว่าสมควรแล้ว ถ้าดูจากฟอร์มการเล่นของลูกทีมตัวเองในวันนี้



ยกธงขาว ??




             จริงๆ เป็นเรื่องที่ชวนตลกดีเหมือนกันนะครับ  ที่ต้องบอกว่าแฟนลิเวอร์พูลค่อนข้าง “อ่อนไหว” กันมากทั้งในเรื่องดี หรือในเรื่องไม่ดีก็ตาม ก่อนหน้านี้พอทีมเริ่มทำคะแนนนำห่าง ก็เตรียมฉลองแชมป์กันแล้ว ทั้งๆ ที่ผ่านมาแค่ครึ่งทางของการแข่งขันเท่านั้น  มาตอนนี้ก็เช่นกันโปรแกรมการแข่งขันยังไม่จบ แถมลิเวอร์พูลก็ยังเป้นฝ่่ายมีคะแนนนำหน้าแมนฯ ซิตี้อยู่ 3 คะแนนแท้ๆ แต่แฟนๆ กลับถอดใจ ยอมแพ้ให้กับทีมที่คะแนนน้อยกว่าในตอนนี้ อย่างแมนฯซิตี้ไปเสียอย่างนั้น คิดแล้วก็น่าแปลกดีเหมือนกันนะครับ

 

             สิ่งที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ถึงจะดูน่าเป็นห่วงอยู่พอสมควร แต่ต้องไม่ลืมครับ ว่าลิเวอร์พูลที่เห็นในตอนนี้ยังไม่ใช่ ทีมลิเวอร์พูลที่เต็ม 100% อย่างที่เราเคยเห็นกันตอนต้นฤดูกาล และถึงแมนฯ ซิตี้ จะเก็บเกมกับเอฟเวอร์ตันได้ในวันพุธนี้ จนทำให้ทีมตกลงไปอยู่ที่ 2 ก็ตาม แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าก็ได้ครับ เพราะถ้าจำคำพูดของคล็อปป์ได้ตอนต้นฤดูกาลว่า “เราคือร๊อกกี้  เราคือผู้ท้าชิง เราต้องใส่สุดตัวและไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” ตำแหน่งนี้อาจจะเหมาะกว่าและลดความกดดันไปให้กับลิเวอร์พูลได้ก็ได้  สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่”จุดจบ” ในการลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลแบบที่แฟนหลายๆคนพูดหรอกครับ  การลุ้นแชมป์มันเพิ่ง “เริ่มต้น” ต่างหาก แถมเป็นการเริ่มต้นแบบมีแต้มต่ออยู่อีก 3 คะแนน ชิวๆ  อยากจะให้แฟนลิเวอร์พูลทุกคนฮึดสู้และก้าวเดินไปด้วยกันครับ ใส่ให้เต็มที่ให้สมกับตำแหน่งผู้ท้าชิงของเรา  และมาดูกันครับว่าผู้ท้าชิงอย่างเราจะสามารถกระชากเข็ดขัดของแชมป์เก่าที่แข็งแกร่งอย่างแมนฯซิตี้ได้ไหม

 

               นี่ไม่ใช่หรอครับ สิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลเฝ้ารอกันมากว่า 29 ปี จะมาถอดใจกันง่ายๆแบบนี้ มันก็ไม่สมกับที่บรรดาแฟนทีมอื่นเค้าพูดสิครับว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นพวก “อดทนเก่ง”

 

               จับมือกันไว้ แล้วไปด้วยกันครับ ... Football without fan is nothing … The Kop !!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด