:::     :::

แค่ยกแรก

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
3,102
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ลิเวอร์พูล กับ บาเยิร์น มิวนิค 2 ทีมแชมป์ยุโรป 5 สมัย ที่ต้องมาห้ำหั่นกันในรอบ 16 ทีม ถือเป็นคู่เอกของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในรอบนี้


 

           เกมแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่แฟนๆฟุตบอลรอคอย ลิเวอร์พูลต้องมาโคจรกับทีมแกร่งอย่างเสือใต้บาเยิร์น มิวนิค ก็จบลงไปแบบเสมอกันไปแบบไม่มีสกอร์ 0-0 นะครับ แต่สกอร์ที่ออกมาแบบนี้ มันสวนทางกับรูปเกมที่ต้องบอกว่าสนุกและตื่นเต้นแทบจะไม่มีจังหวะน่าเบื่อเลย ถือว่าเป็นเกมที่มีคุณภาพอีกเกมหนึ่ง และคุณภาพของทั้งสองทีมนั้น สูสีคู่คี่กันเป็นอย่างมาก สมกับที่ทั้งสองทีมเป็นยอดทีมของทวีปที่มีศักดิ์ศรีที่ทัดเทียมกันด้วยผลงานแชมป์ยุโรป 5 สมัยเท่ากันทั้งคู่เลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นสำหรับแฟนๆ ลิเวอร์พูลเองก็อาจจะแอบเสียดายนิดๆ เพราะเอาจริงๆ ถ้าพวกเขาไม่ทิ้งโอกาสที่มีไปเอง ชัยชนะก็น่าจะตกเป็นของทางฝั่งเจ้าบ้านจริงๆ



คุณภาพที่ทัดเทียม

           





           ทั้งสองทีมนั้นเรียกได้ว่า “ทันกัน” ในด้านแทคติก แน่นอนครับว่าเจอร์เก้น คล็อปป์ รู้ไส้รู้พุงฟุตบอลเยอรมันเป็นอย่างดี แถมนักเตะบาเยิร์น มิวนิคบางคนก็ยังเป็นศิษย์เก่าของเขาที่เขาเองปั้นมากับมือ ซึ่งในเกมนี้ เขาก็จัดการ”ชัตดาวน์” โรเบิร์ต เลวานดอฟกี้ ดาวซัลโว 8 ประตูในถ้วยนี้ได้อยู่หมัดจนเรียกว่าแทบจะหายไปจากเกมเลยทีเดียว แถมคล็อปป์ก็ยังเลือกนาบี เกอิต้า ที่คุ้นเคยกับการเล่นกับบาเยิร์น มิวนิคลงสนามก่อนเจมส์ มิลเนอร์ด้วย ซึ่งแท็กติกที่คล็อปป์วางไว้ในเกมนี้ก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรทีเดียวกับการรับมือกับทีมแกร่งอย่างบาเยิร์น มิวนิค เพราะตลอดทั้งเกมนี้ พวกเขาทำให้บาเยิร์น มิวนิค ไม่สามารถยิงตรงกรอบได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว จะมีได้หวาดเสียวที่สุดก็เป็นจังหวะที่โจเอล  มาตีปสกัดผิดเหลี่ยมไปชนหน้าอกอลิสซอนเกือบเข้าประตูตัวเองแค่นั้น แต่นอกเหนือจากจังหวะนี้ก็ไม่มีจังหวะที่จะแจ้งเท่าไรเลย ซึ่งในเกมที่ไม่มีกองหลังหัวใจสำคัญของทีมอย่างเฟอร์กิล ฟาน ไดจ์คในเกมนี้ แต่ยังสามารถเล่นเกมรับกับทีมอย่างบาเยิร์น มิวนิคได้ดีขนาดนี้ ถือว่าลูกทีมของคล็อปป์ทำได้ดีมากพอสมควรเลยทีเดียว

 

           ส่วนทางด้านนิโก โควัช เองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน เขาวางแทกติก เน้นความแน่นอนไม่ผลีผลามบุก และต้องบอกว่าทำการบ้านในการแก้ เกเก้นเพรซซิ่งของลิเวอร์พูลได้อย่างดีเลยทีเดียว ในการขึ้นเกมจากแดนหลัง เขาสั่งให้ฟูลแบ็คทั้งสองฝั่งถอยลงมาต่อบอลลึกในเส้นระนาบเดียวกับนอยเออร์เลย เพื่อที่จะเพิ่มพื้นที่ให้กับทีมได้ต่อบอลได้มากขึ้น และเมื่อแบ็กของทีมลงไปต่ำ กองหน้าของลิเวอร์พูลเองก็ไม่สามารถไล่เพรซซิ่งไปสูงถึงขนาดนั้นได้ เพราะถ้าไล่สูงถึงขนาดนั้นถ้าไล่ไม่จน เท่ากับเป็นการเปิดพื้นที่ตรงด้านหลังให้คู่แข่งได้โจมตีทันที ตรงนี้ต้องปรบมือให้จริงๆ และอาจจะเป็นแบบอย่างให้ทีมอื่นๆ ลอกเลียนแบบในการรับมือกับ เกเก้นเพรซซิ่งเลยก็ได้ นอกจากนั้น เขาเองก็รู้ว่าเกมนี้ลิเวอร์พูลไม่มีกองหลังตัวสำคัญอย่างฟาน ไดจ์ค ทำให้เขาเน้นบุกไปที่ทางฝั่งซ้ายโดยเลือกที่จะเจาะทางแอนดี้ โรเบิร์ตสันและกองหลังจำเป็นอย่างฟาบินโญ่เป็นพิเศษ แล้วเขาก็ทำได้ค่อนข้างดีเลย ซึ่งถ้ายอมรับกันตามความจริงแล้ว เกมนี้ก็เป็นเกมที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักของฟูลแบ็คเลือดสก๊อตรายนี้ แน่นอนส่วนหนึ่งเป็นเพราะโควัชทราบด้วยว่าโรเบิร์ตสันมีใบเหลืองติดตัวมาก่อนหน้าแล้ว หากรับใบเหลืองอีกใบจะต้องติดโทษแบนในเกมหน้า ซึ่งนั่นทำให้เราเห็นแบ็คพลังเทอร์โบของเรารายนี้ เล่นแบบกล้าๆกลัวๆ ซึ่งน้อยครั้งมากที่เราจะเห็นโรเบิร์ตสันมีอาการระส่ำขนาดนี้ ต้องยกนิ้วความฉลาดหลักแหลมให้กับโควัช ที่รู้จักใช้ข้อจำกัดของนักเตะทีมตรงข้ามให้เกิดประโยชน์

 


เกมที่สุดยอดของเฮนเดอร์สัน






          
เกมนี้บาเยิร์น มิวนิคนั้นถึงจะเน้นรัดกุม แต่พวกเขาก็มีการเพรซซิ่งสูงในลิเวอร์พูลอย่างหนักหน่วงมากเหมือนกัน บีบลิเวอร์พูลให้ขึ้นเกมได้ยากลำบาก จนอลิสซอน เบคเกอร์เกือบแจกโชคจากจังหวะเตะเปิดบอลที่โดนบีบจนเตะไปเข้าทางผู้เล่นบาเยิร์น มิวนิค ซะอย่างงั้น ไม่ใช่แค่อลิสซอนคนเดียวที่โดนบีบจนพลาด นักเตะหงส์แดงหลายๆ คนก็ส่งบอลกันผิดพลาดเพราะโดนทีมเยือนบีบสูง แต่พวกเขาก็รอดสถานการณ์ต่างๆ มาได้เพราะได้ยอดกัปตันทีมอย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ช่วยไว้หลายๆ ครั้ง ทั้งการเข้าปะทะ และการเซฟในจังหวะสำคัญๆ ที่เข้าตาหลายต่อหลายครั้งในเกมนี้  และนอกเหนือจากสิ่งที่ว่ามา สิ่งที่เฮนโด้แสดงให้เห็นในเกมนี้อย่างโดดเด่น คือ สายตาและการส่งบอลอันแม่นยำของเขานี่แหละ หลายๆ ครั้งที่นักเตะลิเวอร์พูลโดนเพรสซิ่งไวแล้วออกอาการลนลาน แต่เมื่อบอลมาถึงเท้าเฮนโด้ เขาก็ทำเรื่องยากที่ว่ามาให้ดูง่ายดายไปเลย โดยกายจ่ายบอลไปยังที่ว่าง ที่ปลอดภัยจากการเพรซซิ่งได้สวยๆ หลายต่อหลายครั้ง แถมเกมนี้ยังมีการวางบอลสวยๆ ให้กองหน้าหรือแบ็คที่เติมขึ้นมาได้อีกหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะที่โยนบอลจากกลางสนามเข้าจุดโฟกัสให้โม ซาล่าห์ดีดบอลเร็วหมายจะพังประตู ต้องบอกว่าสมบูรณ์แบบเอามากๆ ถือว่าเกมนี้คือเกมที่ดีมากๆเกมหนึ่งของเฮนโด้ในฤดูกาลนี้เลยทีเดียว 

 


กองหน้ายังฝืด




            สามประสาน ซาดิโอ มาเน่, โม ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้มีโอกาสลงเล่นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในแมตช์นี้ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันมากมายนัก จริงๆ จะว่าไปพวกเขาก็มีโอกาสยิงประตูอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ละเอียดและลนลาน ขาดๆ เกินๆ ไปเสียหมดในจังหวะสุดท้าย โดยเฉพาะมาเน่ ที่ดูจะฟิตและได้โอกาสมากกว่าเพื่อน และน่าจะทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำไปได้แล้ว หากจังหวะที่ได้ส้มหล่นหน้าประตูเจ้าตัวไม่ดันยิงแป๊กออกไปเสียอย่างงั้น  ในส่วนของ ฟีร์มีโน่ กับ ซาลาห์ แม้จะได้บอลคอยป่วนเกมรับของทีมเยือน แต่ก็ไม่สามารถหาโอกาสยิงแบบจะแจ้งได้เลย  โจ๊กเกอร์อย่างโอริกี้ที่เปลี่ยนลงมาก็แทบสร้างประโยชน์ให้ทีมไม่ได้เลยเช่นกัน 


          
เกมนี้ถึงจะน่าเสียดายแต่จริงๆ ต้องบอกว่าการเสมอ 0-0 ในบ้านแบบนี้ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเลยครับ  โอกาสยังเปิดกว้างให้กับทั้งสองทีมพอๆ กันในเกมเลก 2 ที่บ้านของเสือใต้ แถมทางด้านลิเวอร์พูลยังออกแนวกั๊กๆ ตัวผู้เล่นไว้เพื่อจะทำศึกใหญ่ในสุดสัปดาห์นี้กับแมนฯ ยู อีกต่างหาก  ถ้าหัวร้อนหรือเสียดายกับเกมนี้มากๆ พยายามลืมมันไปให้ได้หรือเปลี่ยนเป็นพลังไว้เชียร์เกมใหญ่กับ “ศึกแดงเดือด” ในสุดสัปดาห์นี้ดีกว่าครับ 

 

            เส้นทางในฟุตบอลยุโรปยังเปิดกว้างให้กับทั้ง 2 ทีมอยู่ จนกว่าจะถึงวันที่ 13 มีนาคม ที่ทั้งคู่จะโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง ... และครั้งนี้แหละ เราจะได้รู้ว่าใครกันแน่ ทีมจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปเพื่อไปลุ้นแชมป์สมัยที่ 6 อดใจรอได้เลย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด