:::     :::

ทำดีที่สุดแล้ว

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,498
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ภาพความพ่ายแพ้ 0-6 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ยังคงตามมาหลอกหลอนทีมฝั่งสีน้ำเงินอยู่ จะให้ไม่คิดก็คงทำได้ยากเหมือนกันก่อนเผชิญหน้ากันในเกมชิงถ้วย

เกมนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่รู้ว่าใครกล่าวเป็นคนแรก แต่มันก็จริง และก็มีให้เห็นมานักต่อนักว่าทีมที่เหนือกว่าไม่จำเป็นต้องชนะเสมอไป

การจัดทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ สร้างความแปลกใจอยู่เหมือนกัน จัดการปรับสองตำแหน่งจากเกมเจอกันที่เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้าที่เลือกจะดร็อป กอนซาโล่ อีกวาอิน เป็นแค่สำรอง พร้อมขยับ เอแด็น อาซาร์ ขี้นไปเล่นกองหน้า แล้วเอา วิลเลี่ยน ลงทำเกมรุกกับ เปโดร โรดริเกซ

อีกตำแหน่งที่เปลี่ยนก็คือแบ็คซ้ายที่ เอแมร์ซอน ได้โอกาสลงตัวจริงก่อน มาร์กอส อลอนโซ่ ที่ช่วงหลังฟอร์มตกลงไปอย่างน่าใจหาย ประสานงานกับ ดาวิด ลุยซ์, อันโตริโอ รือดิเกอร์ และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า โดยมี เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เฝ้าเสา

ส่วนแดนกลางไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ เป็นสามประสานเหมือนเดิม


ขณะที่ทางฝั่ง "เรือใบ" เปลี่ยนสองตำแหน่งเช่นกันจากเกมลีกที่ถล่มมา โดยเอา ดาบิด ซิลบา ลงเล่นแทน อิลคาย กุนโดกัน ส่วนอีกตำแหน่งคือเซนเตอร์ที่ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ได้เล่นตัวจริงแทน จอห์น สโตนส์ 

ไม่อยากจะบอกเลยว่าคนที่ลงเล่นแทนไม่ได้แตกต่างหรือจะบอกว่าเหนือกว่านักเตะจากเกมที่แล้วด้วยซ้ำไป

เรื่องการเทียบกันตัวต่อตัวว่าไปแล้ว เชลซี อาจจะไม่ได้เป็นรองมากมายอะไร เพียงแต่ผลจากการพบกันล่าสุดมันห่างจนไม่น่าเชื่อ เพราะเกมนั้น ซิตี้ ขึ้นมาเป็นหายเกือบตลอด

แต่เรื่องความสำเร็จของกุนซือคงต้องยอมรับว่าคนละชั้นระหว่าง เมาริซิโอ ซาร์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพราะในขณะที่นายใหญ่เรือใบกดโทรฟี่มาแล้ว 24 แชมป์ เทรนเนอร์สิงห์ยังมือเปล่า

ส่วนประสบการณ์เข้าชิงบอลถ้วย เป๊ป ก็เหนือกว่าด้วยสกอร์ 11-0 เรียกได้ว่าคนละเรื่องกันเลย แม้ว่าประสบการณ์คุมทีมฝั่ง ซาร์รี่ จะมีมากกว่าถึง 10 ปี


ออกสตาร์ทเกมไม่แตกต่างจากเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยม มากนัก แต่เกมอยู่ในการครอบครองของ แมนฯ ซิตี้ จะบอกว่าทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เชลซี ต้องลงไปตั้งรับในแดนตัวเองทั้ง 11 คน แม้แต่ เอแด็น อาซาร์ ก็ลงมารับลึกเลยวงกลมกลางสนามมาเลยด้วยซ้ำ

เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับเกมก่อนหน้าที่ "สิงห์บลูส์" โดนทะลวงตาข่ายไปแล้ว 4 เม็ด ต้องบอกว่า เมาริซิโอ ซาร์รี่ สั่งลูกทีมรัดกุมและเล่นแบบเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างมาก เพราะหากทะเล่อทะล่ามีโอกาสเละเหมือนเดิมอีก

เรียกได้ว่าเรียนรู้และนำมาปรับปรุง

เกมรุกริมเส้นที่เป็นจุดแข็งของ เชลซี มีหน้าที่แค่ลงไปช่วยแบ็คทั้งสองข้างเท่านั้น โดยเฉพาะทางฝั่งขวาของ เปโดร โรดริเกซ ที่ต้องลงไปช่วย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า คอยตาม ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เพราะจากเกมที่แพ้มานั้นมันแสดงให้เห็นแล้วว่าแบ็คชาวสเปนนั้น "เอาไม่อยู่"

ไม่ต้องบอกว่าแนวรุกฝั่งสีน้ำเงินแทบไม่ได้บอล แต่นักเตะทั้งทีมแทบไม่ได้บอลเลยต่างหาก

สถานการณ์มาดีขึ้นหลังผ่านครึ่งชั่วโมงที่ทีมของ ซาร์รี่ มาเป็นฝ่ายครองบอลบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นการเล่นในแดนตัวเองมากกว่า แต่ก็ต้องเผชิญการบีบเกมสูงของผู้เล่นซิตี้อยู่เหมือนกัน


โอกาสที่ได้เสียวของ เชลซี ต้องรอจนถึงนาทีสุดท้ายของครึ่งแรกจังหวะสวนกลับที่ วิลเลี่ยน แทงทะลุช่องให้ เอแด็น อาซาร์ สปีดหาบอลใช้ความแกร่งชน อายเมริก ลาปอร์กต์ ก่อนกระชากเข้าเขตโทษแล็วล็อคหาช่องสับไกสุดท้ายติดบล็อค 

แม้จะไม่ถึงขนาดว่าได้ลุ้นประตูแบบจะแจ้งอะไรขนาดนั้น แต่ก็เป็นจังหวะที่สตาร์เบลเยี่ยมได้โชว์ของบ้างหลังอึดอัดมาตลอดครึ่งแรก

สกอร์ 0-0 ในครึ่งแรกต้องชื่นชมระเบียบวินัยในการเล่นของทีม "สิงห์บลูส์" โดยเฉพาะในเกมรับที่ช่วยกันดีจริงๆ ทำให้คู่แข่งแทบหาช่องเข้าทำไม่ได้เลย

เกมของทั้งสองทีมยังทรงๆอยู่ในช่วงครึ่งหลัง แต่ "เรือใบ" มาส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้จากจังหวะต่อเนื่องลูกเตะมุม นิโกลัส โอตาเมนดี้ ยิงสวนจากหน้าเขตโทษบอลมาเข้าเท้า เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" ยิงตามน้ำเข้าไปแต่เป็นจังหวะล้ำหน้าซะก่อน

ประตูนี้คล้ายกับจังหวะผิดพลาดของ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่โหม่งคืนหลังจนโดน อเกวโร่ ยิงเข้าไปในเกมก่อนหน้า ยังดีที่เกมนี้เป็นคนละแบบกัน แม้ว่าจะมีการขอดู "วีเออาร์" เพื่อยืนยันแต่จากภาพช้าตัวของหัวหอกอาร์เจนติน่าเหลื่อมไปอยู่เล็กน้อยจริงๆ

แม้เกมจะอยู่ในการครอบครองของ แมนฯ ซิตี้ เป็นส่วนใหญ่ แต่ เชลซี ก็ไม่ได้งอมืองอเท้าซะทีเดียวและพร้อมสวนอยู่ตลอดเมื่อ วิลเลี่ยน ตัดบอลได้หรือได้บอลมาครองจะมองหา เอแด็น อาซาร์ และเปิดบอลไปที่ว่างให้ได้ใช้ความเร็วและก็เกือบได้ผลหลังผ่านครึ่งทางของครึ่งหลังที่ตัวรุกคนเก่งหลุดไปทางซ้ายก่อนเลี้ยงดึงจังหวะจน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ สปีดขึ้นมาก่อนไหลให้มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสได้ยิงแต่บอลข้ามคานไปนิดเดียว


แสดงให้เห็นว่าแนวรับเรือใบใช่ว่าจะลอยสูงเติมเกมรุกไม่ลืมหูลืมตาได้โดยเฉพาะทางริมเส้น

และอีกครั้งกับการเล่นงานเกมรับ แมนฯ ซิตี้ ของ เอแด็น อาซาร์ ที่พาบอลหนีผู้เล่นคู่แข่งสองคนก่อนไหลเข้าเขตโทษด้านซ้ายให้ เปโดร โรดริเกซ ที่ปีกชาวสเปนกลับเลือกตบกลับเข้ากลางทั้งที่น่าจะสับไกไปเลย สุดท้ายโดนสกัดชวดโอกาสลุ้นประตูชนิดที่ อาซาร์ ก็กุมหัวเสียดายโอกาสที่สร้างขึ้นมา

ไม่แปลกใจที่หลายต่อหลายครั้ง อาซาร์ เลือกที่จะชงเอง กินเอง มากกว่าที่จะจ่ายบอลให้เพื่อน

11 นาทีสุดท้าย เมาริซิโอ ซาร์รี่ ขยับเปลี่ยนตัวคนแรกเอา คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ลงมาเล่นแทน เปโดร โรดริเกซ น่าจะใช้ความสดและความคึกมาเล่นงานคู่แข่ง 

ถือเป็นอีกครั้งที่เปลี่ยนตัวตามตำแหน่ง แต่ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกเพราะรูปเกมไม่มีอะไรต้องเสี่ยง และเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว 

จากที่เป็นรอง เล่นไปเล่นมา เชลซี เริ่มเพิ่มพูนความมั่นใจมากขึ้นกลับมาเป็นฝ่ายครองเกมมากกว่าในช่วงท้าย

ก่อนนาทีสุดท้ายทีมขยับเปลี่ยนตัวอีกคนเอา รอสส์ บาร์คลี่ย์ ออก แต่คนที่ลงแทนทำให้แปลกใจนิดหน่อยเพราะคือ รูเบน ลอฟตัส-ชีค จากที่ปกติมักจะเป็น มาเตโอ โควาซิช มากกว่า


นั่นหมายความว่า ซาร์รี่ เลือกที่จะใช้ความสดอัดกับ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงต่อเวลาแล้วเพราะเกม 90 นาทีที่จบลงแบบไร้สกอร์แน่

หลังผ่านช่วงต่อเวลาพิเศษ 5 นาที เชลซี ขยับเปลี่ยนตัวอีกครั้ง คราวนี้ส่งกองหน้าอย่าง กอนซาโล่ อีกวาอิน ลงมาแทน วิลเลี่ยน เท่ากับว่านักเตะจะได้เล่นตามตำแหน่งที่ถนัดให้ เอแด็น อาซาร์ ขยับออกมาปั้นเกมทางริมเส้นด้านซ้ายตามปกติ

แม้ว่าช่วงต่อเวลาจังหวะหวาดเสียวเป็นของ แมนฯ ซิตี้ ที่น่าจะได้ประตูอยู่สองครั้ง เล่นเอา เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ตะคริวขึ้นจนทำให้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่อยู่ข้างสนามเตรียมเปลี่ยนเอา วิลลี่ กาบาเยโร่ ลงมาเล่นในช่วงนาทีสุดท้าย แต่ไปๆมาๆมือกาวชาวสเปนส่งสัญญาณว่าเล่นไหวและต้องการอยู่ต่อสร้างความสับสนจน โจนาธาน มอสส์ ต้องมาคุยที่ข้างสนามว่าจะเอายังไงกันแน่

ซึ่งจากท่าทางของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ไม่ต้องการเสี่ยงเพราะถ้า เกปา ไม่ไหวมันส่งผลถึงจังหวะเซฟจุดโทษ แน่นอนว่านายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนต้องการให้ กาบาเยโร่ ที่ร่างกายพร้อมกว่าทำหน้าที่

บางทีอาจจะเป็นการเล่นละครถ่วงเวลาของ เกปา เอง แต่ทางข้างสนามเข้าใจว่าเจ็บก็เลยไม่อยากเสี่ยง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเปลี่ยนตัวเกิดขึ้น มือกาวสเปนรับหน้าที่เฝ้าเสาในการดวลจุดโทษให้ เชลซี


แต่สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นคือการไม่รับคำสั่งของ เกปา ที่โวยวายไม่ยอมเปลี่ยนตัว ถึงตัวเองจะไม่เจ็บแต่ถ้าโค้ชจะเปลี่ยนก็ต้องออก เพราะเหตุการณ์เล่นเอา ซาร์รี่ หัวเสียอย่างหนักเลย

ช็อตสังหารจุดโทษก็งานงอกตั้งแต่เริ่มเมื่อ จอร์จินโญ่ ยิงไปติดเซฟ เอแดร์ซอน ง่ายๆ แต่มาถึงคนที่สาม เกปา ก็โชว์เซฟลูกยิงของ เลรอย ซาเน่ ได้เหมือนกัน

แต่เหมือนชะตาจะไม่เป็นใจ ดาวิด ลุยซ์ ที่ยิงคนต่อไปกลับซัดไปชนเสา จนท้ายที่สุดต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้

ว่าไปแล้วด้วยผลงานเกมนี้ไม่มีอะไรต้องเสียใจ นักเตะทุกคนช่วยกันเล่นอย่างดีเยี่ยม เพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วจุดจบมันเศร้าไปสักหน่อยก็เท่านั้น

เชื่อว่าแฟนสิงห์บลูส์ที่ได้ดูเกมคงพร้อมใจกันปรบมือชื่นชมทีมที่สู้ไม่ถอย ถือเป็นหนึ่งในเกมที่พวกเขาทำผลงานได้ดีในซีซั่นนี้ รวมถึงการเปลี่ยนตัวก็พอถูกใจแฟนบอลอยู่บ้าง

ถึงตอนนี้ก็คงต้องตามเชียร์กันต่อไปกับรายการที่เหลืออย่าง ยูโรปา ลีก รวมถึงลุ้นทำอันดับติดท็อปโฟร์ในพรีเมียร์ลีกให้ได้

มองข้ามเรื่องราวในเกมนี้ หรือเรื่อง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ทิ้งไป ด้วยผลงานในเกมนี้ทีมน่าจะยืนระยะสู้ได้จนช่วงสุดท้ายของฤดูกาลได้



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด