ช่วงต้นเกม ปิศาจแดง ยังคงตั้งเกมไม่ได้ แต่ก็เป็นเช่นนี้แหละ พวกเขาค่อยๆสร้างความมั่นใจขึ้นมาทีเล็กละน้อย อาศัยแดนกลางที่นำโดย เนมานย่า มาติช คอยป้องกันคู่แข่ง รวมไปถึงความขยันของ อันเดร์ เอร์เรร่า เข้าช่วย

เราจะเห็นได้ว่าบรรดาแนวรุกต่างลงมาช่วยทีมกันอย่างขยันขันแข็ง ช่วยบด ช่วยไล่ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำงานได้อย่างถนัด

รูปเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มดีขึ้นมาเหมือนอย่างที่ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ระบุนั่นแหละ พวกเขามีการสื่อสารกันมากขึ้น อาศัยทีมเวิร์คและแท็กติกของกุนซือ

สิ่งต่างๆเริ่มดีขึ้น ปิศาจแดง เริ่มหาจังหวะเล่นงานคู่แข่งได้มากกว่าเดิม จนมาได้ประตูออกนำในครึ่งหลัง 'แบบมีโชค'

จังหวะนั้นใครหลายคนคงคิดแบบเดียวกัน มิเล่ สวีลาร์ นานด่านดาวรุ่งวัย 18 ปี ตัดสินใจพลาดจังหวะเดียวทำให้เกมเปลี่ยนแปลงไป

ก่อนหน้านี้นายด่านชาวเบลเยียมเล่นได้ดี จังหวะป้องกันเด็ดขาด ชัดเจน และตัดสินใจได้ดี มีเพียงลูกที่เสียประตูนั่นแหละที่เขาพลาดคิดจะรับบอล แต่แรงเฉื่อยที่พุ่งมากับบอลไม่สามารถทำให้เจ้าหนูรายนี้ทรงตัวไหว ส่งผลให้ทั้งคนทั้งบอลลอยข้ามเส้นประตู

เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของ สวีลาร์ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้นักเตะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง แน่นอนสภาพจิตใจของนักเตะคงแย่ แต่หลังจบเกมเราจะได้เห็นว่า นักเตะปิศาจแดงเข้าไปพูดคุยปลอบใจเพื่อแสดงความมีน้ำใจ รวมไปถึง โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ออกมากล่วหลังเกมไปในทิศทางที่ดี และชมเจ้าหนูคนนี้ว่าเป็น 'ปรากฏการณ์'

เป็น 3 คะแนนล้ำค่า เพราะตอนนี้ทีมเก็บชัยใน ยูซีแอล 9 แต้มเต็ม โอกาสเข้ารอบสดสใสอย่างมาก

แต่ประเด็นที่น่าจะถูกพูดถึงมากกว่าสามแต้มในนัดล่าสุดคงเป็นอาการบาดเจ็บของนักเตะที่เพิ่มขึ้นมา

ก่อนเกม ฟิล โจนส์ ถูกกะเก็งว่าจะได้ลงสนามเป็นตัวจริง แต่หลังประกาศรายชื่อกลับเป็นเพียงตัวสำรอง

อันที่จริงคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแฟนบอลอาจจะคิดได้ว่าคงมีการสลับนักเตะ แต่ มูรินโญ่ กลับให้ข่าวก่อนลงสนามว่า 'โจนส์' เจ็บ

อาการอย่างที่รู้กัน กองหลังรายนี้เดี้ยงมาตั้งแต่ไปรายงานตัวทีมชาติอังกฤษ แม้ว่าเกมกับ หงส์แดง จะลงสนามได้ไม่มีปัญหาแถมเดินทางไปลิสบอนกับทีม แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปอีกคน

ไหนจะ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เกิดอาการกระตุกอีกรายและต้องโดนถอดออกจากสนามหลังเพิ่งสับไกฟรีคิกประตูชัยให้ทีม

ตามรายงานระบุว่ามีปัญหาที่หัวเข่า ซึ่งใครได้ดูถ่ายทอดสดก็คงจะเห็นอาการและท่าเดินที่กะเผลกออกจากสนามโดยมีทีมแพทย์ตีคู่ดูอาการไปด้วย

แม้ มูรินโญ่ จะบอกว่าแค่เป็น 'ตะคริว' แต่มันก็ยังไม่สามารถทำให้แฟนบอลอุ่นใจได้

กับช่วงที่โปรแกรมชุกชุมถือว่าเสียหาย เพราะก่อนหน้านี้นักเตะก็เจ็บหลายรายซึ่งล้วนแล้วแต่สำคัญกับทีม

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ละไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะกำลังเรียกความฟิตอยู่

แต่บรรดา .... 

ปอล ป็อกบา (กล้ามเนื้อหลังต้นขา)

ไมเคิ่ล คาร์ริค (น่อง)

มารูยาน เฟลไลนี่ (เอ็นหัวเข่า)

เอริค ไบยี่ (น็อก)

คือแกนหลักที่เดี้ยงกันก่อนแล้ว

ถ้านับแบบหยาบๆ รวม โจนส์ กับ แรชฟอร์ด เข้าไปทำให้ลิสต์บาดเจ็บมีถึง 7 ราย ทำให้ภาพในอดีตช่วงเวลาท้ายซีซั่นก่อนกลับมาทันที (แม้ มาร์กอส โรโฮ จะกลับมาซ้อม แต่กว่าจะฟิตต้องรออีกประมาณ 10 วัน)

อย่างไรก็ตาม โชเซ่ มูรินโญ่ ยังคงหนักแน่นเสียงแข็งว่าเขาขอไม่สนใจนักเตะที่บาดเจ็บ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือนักเตะที่ยังพร้อมรบ ที่สามารถลงช่วย คือปัจจัยและประเด็นหลักในเกมนัดต่อไป

สิ่งต่างๆ (ในเรื่องนักเตะบาดเจ็บ) ยังคงไม่กระจ่าง เพราะ มูรินโญ่ เลือกที่จะปิดเป็นความลับของตน และมันเหมือนเป็นการเล่นเกมประสาทกับสื่อ

มูรินโญ่ เคยพูดออกไปว่า 'ผมไม่อยากขอพูดถึงนักเตะ เพราะพวกคุณ (นักข่าว) ทราบดีอยู่แล้ว พวกคุณคงเดาออกมาได้ว่าทีมของผมมีหน้าตาเช่นไร'

"โจนส์ อาจจะกลับมา แต่เรายังไม่ทราบ แรชฟอร์ด บอกผมว่ามีอาการที่เข่า แต่ผมคิดว่าแค่ตะคริวกิน"

"ผมไม่รู้อาการ เฟลไลนี่ ไม่รู้ อาการ ป็อกบา ไบยี่ น่าจะยากผมไม่รู้อะไรจริงๆ"

มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกทีม (อาจจะ) ต้องเจอกับการแก้ปัญหาเรื่องนักเตะหายหน้าไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาการบาดเจ็บ, ติดโทษแบน หรือ ปัญหาส่วนตัว ซึ่ง มูรินโญ่ พยายามแก้ไขเรื่องเฉพาะนี้ให้ออกมาดีที่สุด

ใช่ มันเป็นงานที่ปวดหัว แต่ โชเซ่ เองก็ดูจะสนุกกับการแก้ปัญหาจุดนี้ แม้ว่าจริงๆแล้วในใจของเขาอาจจะคิดเรื่องอื่นก็เป็นไปได้

มองโลกในแง่ดี นักเตะที่เหลือยู่ยังน่าจะผ่านสองเกมข้างหน้ากับทั้ง ฮัดเดอร์สฟิลด์ (พรีเมียร์ลีก) และ สวอนซี (คาราบาว คัพ) ไปได้ และหวังว่าจะมีแกนหลักสัก 2-3 รายฟิตทันเกมที่จะดวลกับ สเปอร์ส

บางครั้งอาการบาดเจ็บมันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้จัดการทีมจะสามารถแกไขปัญหาตรงหน้านี้เช่นไร

อย่างที่ มูรินโญ่ ว่ามานั่นแหละ ถ้ามัวแต่ไปคร่ำครวญ โอดโอย ถึง 'โชคร้าย' ที่ทำให้แกนหลักบาดเจ็บหรือหายหน้าไป สู้มานั่งหาวิธีแก้ไขและเลือกใช้งานนักเตะในนัดต่อไปจะดีกว่า

การต้องมานั่งบ่น นั่งคร่ำครวญ ก็คงไม่ได้ทำให้นักเตะคนนั้นกลับมาได้ทันท่วงที เพราะสุดท้ายแม้ว่านักเตะจะไม่พร้อม คุณก็ต้องจัดทีมลงสนามไปสู้อยู่ดี

และมันเป็นสิ่งที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องพิสูจน์และพาทีมผ่านจุดนี้ไปให้ได้อีกครั้ง !!!!