เมื่อหงส์แดงกลับมาเป็นร๊อคกี้ บัลบัวอีกครั้ง!
แตกตื่นโกลาหลกันยกใหญ่แล้วนะครับ
หลังจากลิเวอร์พูลที่เคยนำแมนฯ ซิตี้ มาตลอดตั้งแต่เดือนธันวาคม
ตอนนี้พวกเขากลับกลายเป็นทีมตามหลังแมนฯ ซิตี้จนได้
หลังจากทำได้แค่เสมอกับคู่แข่งร่วมเมืองอย่างท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน
เอฟเวอร์ตันไปแบบไม่สกอร์ 0-0 แถมฟอร์มการเล่นยังไม่เป็นที่สบอารมณ์กองเชียร์ซักเท่าไร
ตรงนี้แหละครับที่ทำให้แฟนๆ หลายคนจิตตกจนบางคนถึงขั้นยอมแพ้ไปแล้วด้วยซ้ำ!!
ความกดดันที่อันหนักหน่วง
ถึงตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วครับ ว่าลิเวอร์พูลนั้นโดนความกดดันเล่นงานจนออกอาการมากพอดูเหมือนกัน
ในส่วนของเกมรับอาจจะไม่ส่งผลอะไรเท่าไร
แต่กับเกมรุกนั้นค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนพอสมควรจริงๆ ครับ
ยิ่งกับเกมเยือนหรือเกมที่คู่ต่อสู้ลงมาตั้งเน้นรับเป็นพิเศษ พวกเขายิ่งดูร้อนรน
และเล่นไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย โดยเฉพาะตัวความหวังสูงสุดของทีมอย่าง โม
ซาล่าห์นั้นยิ่งออกอาการมากกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
เกมนี้จริงเขาเล่นได้ไม่เลวร้ายอะไร
เพียงแต่ว่าพอเขามีโอกาสทองที่น่าจะทำได้เขาดันไม่นิ่งพอและปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย
จริงๆ แล้วเราก็ไม่สามารถรู้ได้หรอกครับว่าซาล่าห์นั้นโดนความกดดันเล่นงานมากขนาดนั้นไหน
หรือว่านี่แค่อาจจะเป็นแค่ช่วงฟอร์มฝืดของเขา แต่ซาล่าห์ที่แฟนๆ ลิเวอร์พูลคุ้นเคย
ถ้าได้จังหวะเหน่งๆ แบบนี้ โอกาสที่ซาล่าห์จะพลาดนั้นมีน้อยมากเหลือเกิน
ส่วนผู้เล่นแนวรุกคนอื่นก็โดนจับตายเสียจนทำอะไรไม่ถนัดถนี่เท่าไรนัก มาเน่ และ
โอริกี้ที่นัดก่อนโชว์ฟอร์มได้ค่อนข้างดี นัดนี้ก็เงียบกริบไปเลย
เพราะเจอเกมรับที่แข็งแกร่ง ผนวกกับความดุดันในการเป็นเกมดาร์บี้แมชต์แบบนี้
ทั้งสองคนก็กระดิกไม่ออกเหมือนกัน ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็แก้ตัวยากล่ะครับ
ว่าแรงกดดันจากแมนฯซิตี้ที่ส่งมามันส่งผลต่อพวกเขาพอสมควรจริงๆ
มีแต่กรรมกรแต่ไร้ซึ่งจิตกร
เจอร์เก้น คลอปป์นั้นเวลาเล่นเกมใหญ่ๆ สำคัญๆ
มันจะจัดแผงมิดฟิลด์แบบ “เน้นพลัง” โดยการจะใช้มิดฟิลด์ตัวรับ 1 คน
และที่เหลือจะใช้เป็นมิดฟิลด์ Box
to Box อีก 2 คนคอยวิ่งไล่เพรสซิ่ง แย่งบอลและช่วยเกมทั้งเกมรุกและเกมรับ
โดยเกมนี้นั้นคลอปป์เลือกเอา ฟาบินโญ่ - ไวจ์นัลดุม - เฮนเดอร์สัน ลงมาพร้อมกัน
โดยดูจากตัวผู้เล่นและจากผลลัพท์ที่ออกมา ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าเจอร์เก้น คล็อปป์นั้น
“ระวังตัว” เกินไป เพราะจากรายชื่อทั้ง 3 คนนี้เราแทบจะหวังอะไรกับการสร้างสรรค์เกมไม่ได้เอาเสียเลย
ถ้าเปลี่ยนจาก 3 คนนี้แล้วเลือกเอานาบี เกอิต้ามาแทนที่ซัก 1 ตำแหน่งอาจจะทำให้ลิเวอร์พูลมีการเล่นเกมรุกได้หลากหลายและสร้างสรรค์กว่านี้
ในเกมที่ “ต้องการ 3 คะแนน” อย่างเกมนี้แต่กลับใช้มิดฟิลด์ที่เน้นพละกำลัง มันก็ดูขัดๆ
กันยังไงชอบกล.... อีกอย่างที่ต้องยอมรับเช่นกัน ว่าความกดดันไม่ได้ส่งผลแต่กับผู้เล่นอย่างเดียวจริงๆ
แม้แต่ยอดโค้ชอย่างคล็อปป์เองก็ยังส่งผลไปด้วยเหมือนกันนะครับ
การแก้เกมที่ปวดตับ
โอเคล่ะครับ เมื่อมันไร้ไอเดียและทีมต้องการความเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนเอาฟิร์มิโน่และเจมส์ มิลเนอร์ลงมาเป็นอะไรที่เข้าใจได้แน่นอนอยู่แล้ว
เพราะ 2 คนนี้พอคาดหวังได้
ว่าจะสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่แฟนๆ หลายๆ คนคงมึนงงและสงสัย
คือการเปลี่ยนตัวเอาอดัม ลัลลานา ลงมาแทนที่ซาดิโอ มาเน่นั่นแหละครับ
ตรงนี้ผมว่าหลายๆ คนน่าจะหงุดหงิดและอดที่จะตั้งคำถามกับเจอร์เก้น คล็อปป์ไม่ได้แน่ๆ
ว่า “เขาคิดอะไรอยู่??” หรือ “ไปติดใจอะไรลัลลาน่า??” นักหนา
ยิ่งเมื่อมองไปในม้านั่งสำรองก็ยิ่งไม่เข้าใจนะครับ
คนที่รอโอกาสอยู่มีทั้งคนที่หวังในลูกตั้งเตะ ลูกจ่ายสวยๆ หรือลูกยิงไกลได้อย่างเซอดาน
ชาคิรี่ หรือมีทั้งเกอิต้า ที่หวังได้กับการลากเลี้ยงทะลุทะลวงและการยิงไกล
หรือถ้าหวังกับการยิงประตู ก็ยังสามารถส่งดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์
ลงมาเพื่อที่จะหวังลูกปาฏิหารย์จากเขาก็ยังพอเข้าใจได้ ....
แต่กับลัลลาน่าที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมา ผมเองก็ยังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำครับ
ว่าเราจะสามารถหวังอะไรกับมิดฟิลด์สุดหล่อรายนี้ในการพลิกเกมได้จริงๆ หรือ ???? ซึ่งลัลลาน่าเองก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ
เพราะว่าเขานั้นก็เล่นได้อย่างไร้ซึ่งความหวังอะไรแบบที่เราคิดกันนั่นแหละ จริงๆ
แล้วคล็อปป์ควรต้องยอมรับให้ได้แล้วล่ะครับ ว่าวันเวลาดีๆ
ของลัลลาน่ากับลิเวอร์พูลนั้น ได้ผ่านไปนานมากแล้ว
และเขาไม่ควรจะคาดหวังอะไรกับลัลลาน่าอีกต่อไป ถ้าไม่อยากจะผิดหวังซ้ำๆ อีก
ร่วงจ่าฝูง
หลังจากเกมจบไปแบบน่าหงุดหงิด ก็ทำให้ตอนนี้ลิเวอร์พูลกลับกลายมาเป็นที่ 2 โดยสมบูรณ์แบบไปเสียแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าดูจากคะแนนที่ทีมทำได้ ถือว่าทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย จริงๆ แล้วการเสมอทีมอย่างเวสต์แฮม, แมนฯยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน ในเกมไปเยือนแบบนี้ ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย แต่ก็นั่นแหละครับเมื่อทีมที่ไล่ล่าเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างแมนฯซิตี้ภายใต้ยอดโค้ชอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า การทำแต้มตกหล่นแม้จะเล็กๆ น้อยๆ ก็กลายเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวง และกลายเป็นความผิดพลาดระดับคอขาดบาดตายไปเลยแบบนี้ล่ะครับ
แต่เกมยังไม่จบครับ ยังเหลืออีก 9 นัดอย่าเพิ่งถอดใจยอมแพ้หรือยกแชมป์ให้กับแมนฯซิตี้ง่ายๆ
ไปเสียอย่างนั้น (บางคนไล่โค้ชกันแล้วนะ 5555) จริงๆ
แล้วถ้าเรามองกันให้ละเอียดจริงๆ ถ้าแมนฯ
ซิตี้ไม่ทำแต้มหลุดลิเวอร์พูลก็ไม่ได้นำมาตลอดในช่วงหลังนี่หรอกครับ
ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันก็ไม่ใช่ว่าแมนฯ ซิตี้เป็นทีมที่ไร้เทียมทางและแพ้ไม่เป็นอะไรเลยเสียหน่อย
ตอนนี้ตามทีมนำอยู่แค่แต้มเดียวแค่นั้น
แค่ผลการแข่งขันแค่นัดเดียวสถานการณ์ก็พลิกผันได้แล้วครับ
บางทีการกลับไปเป็นร็อคกี้ บัลบัว
หรือผู้ท้าชิงแบบตอนต้นฤดูกาลอาจจะเหมาะกับทีมอย่างลิเวอร์พูลมากกว่าก็ได้ครับ
ถึงเวลานี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากและระวังอะไรอีกแล้วครับ
มีเท่าไรใส่ให้หมดในฐานะ “ผู้ท้าชิง” อีกครั้งก็พอ !!!