ก้าวทีละก้าว
ต้องบอกว่าถ้าตกรอบนี่สิแปลก
แม้สกอร์ที่ออกมาจะขี้เหร่ไปนิดนึง แต่อย่าลืมว่าในฟุตบอลถ้วยที่แพ้แล้วตกรอบแบบนี้นี่แหละต้องเล่นด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเป็นที่สุด
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า น่าจะรู้ซึ้งจากประสบการณ์เมื่อฤดูกาลที่แล้วที่ไปโดนทีเด็ดของทีมรองบ่อนอย่าง วีแกน เขี่ยตกรอบ 5 มาอย่างเจ็บแสบ
ส่วนนึงก็ต้องบอกว่าปีนี้เหมือน "เรือใบ" จะมีโชคในเรื่องของการจับสลากซะเหลือเกิน เมื่อคู่แข่งในแต่ละรอบนั้นต้องใช้คำว่า "อ่อนชั้น" กว่าเยอะจริงๆ ไล่ตั้งแต่รอบ 3 ถล่ม ร็อทเธอร์แฮม 7-0 ตามด้วยถล่ม เบิร์นลี่ย์ 5-0 ในรอบ 4 จนมาถึงรอบ 16 ทีมก็บุกชนะ นิวพอร์ท 4-1 และในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่บุกชนะ สวอนซี 3-2 ที่อาจจะออกแรงมากหน่อย
และก็ ไบรท์ตัน ในรอบตัดเชือกนี่แหละซึ่งต้องบอกว่าแต่ละทีมถ้าไม่ได้อยู่ในลีกต่ำกว่า ก็อยู่ในลีกสูงสุดแต่เป็นทีมระดับครึ่งล่างของตารางทั้งนั้น
เช่นเดียวกับในคาราบาว คัพ ที่ทีมคว้าแชมป์ไปก่อนหน้านี้ คู่แข่งอย่าง อ๊อกซ์ฟอร์ด, ฟูแล่ม, เลสเตอร์ ซิตี้ และ เบอร์ตัน ล้วนมีศักยภาพที่สู้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้ มีแค่รอบชิงชนะเลิศที่เป็น เชลซี ก่อนทีมจะชนะและคว้าถ้วยมาได้ด้วยการดวลเป้า
แม้ฟอร์มจะไม่ได้ร้อนแรงเหมือนฤดูกาลที่แล้ว แต่ไปถามแฟนซิตี้อาจจะชอบที่เป็นอยู่แบบนี้มากกว่า
ซีซั่นที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ นั่งเก้าอี้จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เกมที่ 5 ลากยาวจนกระทั่งคว้าแชมป์ แต่สุดท้ายถือว่าล้มเหลวเมื่อมีแค่ถ้วยลีก คัพอีกรายการเป็น "ดับเบิ้ลแชมป์" แต่ในเอฟเอ คัพแพ้ วีแกน อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้า ขณะที่ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ โดน ลิเวอร์พูล เขี่ยตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
มาปีนี้ดูเหมือนว่านายใหญ่ชาวสเปนจะสั่งให้ลูกทีมเล่นแบบ "เน้นๆ" มากกว่าเพราะเห็นได้ชัดว่าปีนี้ทีมไม่ได้ยิงระเบิดเถิดเทิงแบบเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ส่วนนึงอาจจะมาจากอาการบาดเจ็บของ เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางตัวเก่งที่โดนเล่นงานมาตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล และในระหว่างซีซั่นก็ลุ่มๆดอนๆ
นอกจากนี้ยังรวมถึง เลรอย ซาเน่ ที่ฟอร์มเทียบไม่ได้เลยกับเมื่อฤดูกาลที่แล้วที่ตะบัน 14 ประตูคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีไปครอง โดยสาเหตุอาจจะมาจากการหลุดทางโผทีมชาติเยอรมันชุดลุยฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ทำให้เสียศูนย์ไปบ้าง
ถึงกระนั้น ซิตี้ ก็ยังยืนหยัดลุ้นแชมป์ทุกรายการอยู่ในขณะนี้ซึ่งก็ต้องปรบมือให้กับการวางแผนของ เป๊ป ที่ไม่ประมาทเหมือนเมื่อปีก่อนอีก
ยิ่งช่วงหลังเห็นได้ชัดว่าทัพเรือใบให้ความสำคัญกับผลการแข่งขันมาก การจะยิงคู่แข่งขาดกระจุยแทบไม่มีให้เห็น โดยเฉพาะในลีกที่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อฤดูกาลที่แล้วยิงน้อยกว่าถึง 7 ลูก
แต่ก็นั่นแหละเมื่อถึงช่วงท้ายฤดูกาลแต่ทีมยังต้องลงทำการแข่งขันในทุกรายการ แข้งขาย่อมอ่อนเป็นธรรมดา เพราะบางทีใจสู้แต่ขาวิ่งไม่ไหวก็เป็นได้
ดังนั้นช่วงหลังจึงเห็นการสลับสับเปลี่ยนผู้เล่นโดยเฉพาะในแนวรุก แต่ด้วยทรัพยากรในทีมที่มีค่อนข้างเหลือเฟือและศักยภาพไม่ได้เป็นรองกันมากนักคือข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของทีมที่ทีมอื่นอาจจะยังเป็นรองอยู่
เดือนแห่งความร้อน (ของบ้านเรา) ถือว่าเป็นเดือนที่โปรแกรมของทีม "เรือใบ" แน่นเอี๊ยดต้องลงเล่นถึง 8 เกมใน 3 รายการ โดยผ่านไปแล้วสองเกมเปิดหัวด้วยการชนะ คาร์ดิฟฟ์ 2-0 และชนะ ไบรท์ตัน ในเอฟเอ คัพ 1-0
วันอังคารนี้ทีมจะลงเล่นรายการที่สามในรอบสัปดาห์ ถือเป็นอีกหนึ่งรายการสำคัญที่ทีมปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้มาครอบครอง ก็คือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีดที่จะบุกไปเยือน สเปอร์ส ในการลงเล่นที่สังเวียนแห่งใหม่อย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม
สถิติยังพออุ่นใจได้อยู่ที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เอาชนะ "ไก่เดือยทอง" มาแล้ว 4 เกมติดต่อกัน น่าจะเป็นตัวเรียกความมั่นใจให้ทีมบ้างไม่มากก็น้อย
หลังจากนั้นจะบุกไปเยือน คริสตัล พาเลซ ในเกมพรีเมียร์ลีก ต่อด้วยเกมเยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่จะกลับมาเปิดรังเอติฮัด สเตเดี้ยมพบกับ สเปอร์ส อีกครั้งในเกมเลกที่สอง
ทีมยังมีโปรแกรมหนักต่อในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการพบกับทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เวอร์ชั่นเกมลีก ถือเป็นการเจอกันนัดที่ 3 ในรอบ 11 วัน และจะไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก "แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้" ปิดท้ายเดือนด้วยเกมเยือน เบิร์นลี่ย์
เรียกได้ว่าเป็นเดือนหฤโหดของทีมสีฟ้าที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า "4 แชมป์" ที่ใฝ่ฝันจะเป็นเพียงแค่ความฝันรึเปล่า หรือจะสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ
ชัยชนะ 12 จาก 13 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก จากที่โดน ลิเวอร์พูล แซงทิ้งไปไกล จนกลับมาอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าจะกลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่าหรือไม่
ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่บอร์ดบริหารของทีมต้องการที่จะคว้ามาครองเป็นสมัยแรกของสโมสรจะไปได้ถึงจุดไหน
ทุกอย่างวัดกันที่เดือนนี้ และก้าวแรกก็เริ่มจากเกมคืนวันอังคารนี้เลย