ผันร้ายที่หายไป
ถึงไม่เห็นภาพ แต่ก็เชื่อว่าทุกคนรู้ดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดอะไรขึ้น
แพ้ทาง ?
ลิเวอร์พูลนั้นไม่ชนะเชลซีในแอนฟิลด์มา 7 ปี ติดต่อกันแล้วนะครับ ที่ผ่านมาทำได้ดีสุดแค่เสมอและบางครั้งก็ถึงขั้นแพ้คาบ้านแบบในเหตุการณ์อุบัติเหตุที่ว่านั้นแหละ และนัดนี้เหมือนซาร์รี่ ก็วางแผนมาแบบรัดกุมพอสมควร โดยเขาเลือกที่จะวางแผนแบบแพ็กแดนกลาง และไม่ใช้กองหน้าตัวเป้า แต่ใช้เอแด็น อาซาร์กองหน้าตัวหลอกหรือ False 9 มาแทนซึ่งก็เพราะหวังไว้กับจังหวะโต้กลับนั่นเอง ส่วนลิเวอร์พูลนั้นใช้ชุดเก่งชุดเดิมของพวกเขา โดยเฉพาะแผงกลางที่ดูเหมือนจะหาจุดลงตัวมานานแต่ในที่สุดก็มาเจอกับสูตรที่ใช้ ฟาบินโญ่ - เฮนเดอร์สัน - เกอิต้า ที่ดูจะลงตัวที่สุดในชั่วโมงนี้แล้ว โดยรูปเกมส่วนใหญ่ก็เป็นของลิเวอร์พูลมากกว่า ส่วนเชลซีนั้นก็รอจังหวะทีเผลอที่ลิเวอร์พูลดันเกมขึ้นมา เพื่อวางบอลยาวให้อาซาร์ใช้ความคล่องเล่นงานแผงหลังลิเวอร์พูล แต่ตามที่เห็นต้องบอกว่าไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไร คือ ไม่ว่าอาซาร์จะคล่องหรือเก่งแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าต้องมาเจอฟาน ไดค์ กับ มาติปรุมกินโต๊ะแบบนี้ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน กลายเป็นว่าลิเวอร์พูลไม่กดดันอะไรกับเกมรับเลย เพียงแต่ว่าเกมรุกยังหาช่องเจาะไม่ได้แค่นั้นเอง แต่แบบนี้รูปเกมดูเหมือนจะเข้าทางลิเวอร์พูลมากกว่า แต่ก็ได้แค่เคาะหาช่องและครองบอลเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ยังหาโอกาสยิงจะแจ้งไม่ค่อยได้ จนหมดครึ่งแรกไปแต่ในภาพรวมลิเวอร์พูลดูดีกว่าเยอะ เพียงแต่พวกเขาต้องยกระดับเกมเพื่อชิงประตูให้ได้เท่านั้นเอง
ชายผู้ร้อนแรงกว่าแสงแดดเดือนเมษาฯ
กลับมาครึ่งหลังลิเวอร์พูลยังเป็นฝ่านครองเกมและบุกเข้าหาเป็นส่วนใหญ่ และผ่านไปแค่ 6 นาทีในครึ่งหลัง ก็ได้โอกาสจากการผิดพลาดของ เอเมอร์สัน ที่สกัดบอลไม่เด็ดขาด และเป็นความขยันของจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ตอนนี้ต้องใช้คำว่า “กัปตันคนเก่ง” ได้แล้ว ตามไปเก็บบอลจังหวะสองแล้วตักไปเสาสองแบบน้ำหนักสุดแสนจะเพอร์เฟกให้มาเน่ โขกโล่งๆ จมตาข่ายเข้าไป ให้หงส์แดงนำก่อน 1-0 ต้องบอกว่านี่คือ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง ใครจะไปคิดว่าการดันเฮนเดอร์สันที่โดนปรามาสว่า เล่นเกมรุกไม่เป็น หรือ ทำได้แค่แปะบอลไปมา มาเล่นในตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมเพียงนิดเดียว จะทำให้เกิดผลกระทบในทางบวกมากมายกับทีมขนาดนี้ ตั้งแต่เฮนโด้มาเล่นในตำแหน่ง Box to Box ที่ว่านี้เฮนโด้มีผลงานที่เรียกว่าจับต้องได้ตลอด 3 นัดล่าสุดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแอสซิสต์สวยๆ การจ่ายบอลคีย์พาสอันคมกริบ หรือแม้แต่การยิงประตู ก็มีให้เห็นตลอด เรียกได้ว่าตอนนี้เขาชนะใจกองเชียร์ลิเวอร์พูลที่เคยโห่เคยด่าเขา ให้กลับมาเชียร์และเอาใจช่วยเขาได้อย่างยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว
ซาลาห์มันต้องอย่างนี้ !!!!!!!
อย่างที่ผมเคยเขียนไปเมื่อคอลัมน์ครั้งก่อนๆ ครับ .... ที่ว่าแนวรุกของลิเวอร์พูลนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้เล่นตกหรือด้อยประสิทธิภาพลงจากเมื่อซีซั่นก่อนแต่อย่างใด พวกเขายังสร้างสรรค์โอกาสได้อยู่เรื่อยๆ และก็ยังผลิตประตูออกมาได้เรื่อยๆ เช่นกัน เพียงแต่ที่ต่างไปจากซีซั่นก่อนหน้านี้ คือ “ความมหัศจรรย์ของซาลาห์” นี่แหละครับ เมื่อฤดูกาลก่อนหน้านี้ซาลาห์นั้นเหมือนค้นพบคำภีร์การยิงประตูหรือยังไงไม่ทราบ แต่เมื่อใดที่เขาได้สับไกยิงบอลที่ออกจากเท้าของเขามันเหมือนโดนประตูดูดให้เข้าไปซุกอยู่ในก้นตาข่ายทุกครั้งไป ซึ่งซาลาห์นั้นทำให้พวกเราเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้เป็นภาพติดตาและเข้าใจว่า ซาลาห์นั้นยิงประตูได้อย่างยอดเยี่ยมเอามากๆ แต่ในซีซั่นนี่มันไม่เป็นเหมือนอย่างปีก่อนครับ บอลที่ออกจากเท้าของซาลาห์ดูเหมือนจะไม่มีมนต์ขลังอย่างนั้นอีกแล้ว ในปีนี้เขายิงลูกมหัศจรรย์แบบที่ว่ามาแบบนับครั้งได้เลย จนมานัดนี้นี่แหละ ที่เขาได้ทำให้เหล่ากองเชียร์ได้เห็นอีกครั้ง ได้นึกถึงซาลาห์เมื่อปลายฤดูกาลก่อนอีกครั้งด้วยการซัดด้วยซ้ายแบบเต็มข้อ บอลพุ่งวาบเสียบเสาสองเข้าไปอย่างสุดยอดจริงๆ และนี่น่าจะเป็นสัญญาณส่งถึงทีมคู่แข่งอย่างชัดเจนครับว่า “เขากลับมาแล้ว” !!
ฮันแน่..... เร่งเครื่องหนีเหรอ
แม้แมน ฯซิตี้ จะเร่งเครื่องหนีลิเวอร์พูลไปก่อน เพราะเอาชนะคริสคัลพาเลซ ไปได้แบบสบายๆ ก่อนหน้านี้ แต่ลิเวอร์พูลก็เร่งเครื่องตามมาได้อย่างยอดเยี่ยม และตอนนี้ดูเหมือนว่า หลายๆ อย่างกำลังเข้าทางของพวกเขามากพอสมควร ดูจากโปรแกรมที่เหลือของทั้งสองทีม ที่ดูแล้วทางฝั่งของแชมป์เก่าจะหนักหนากว่าพอสมควร ฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับทีมและกองเชียร์อย่างเหตุการณ์ “ลื่นพลิกโลก” ได้ถูกทำให้มลายหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่ฝันร้ายเพียงอย่างเดียว ที่เป็นเหมือนคำสาปที่ให้ลิเวอร์พูลพรากจากแชมป์ลีกมา 29 ปี เพียงแค่เรื่องเดียว ซึ่งหวังว่าพวกเขาจะลบฝันร้ายนี้ออกไปจากทีมและกองเชียร์ลิเวอร์พูลได้เช่นกัน ....