:::     :::

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ นักเตะยอดเยี่ยม PFA ผู้พลิกชีวิตหงส์แดง

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
2,161
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถ้าไม่มีชายที่ชื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ลิเวอร์พูลจะไม่มีทางมาอยู่ในจุดที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ได้อย่างแน่นอน

          ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่า”โลกคู่ขนาน”ที่เราได้ยินได้เห็นกันบ่อยๆ ในหนังฮอลลีวู็ด มันมีจริงๆ หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าใครๆ ก็คงเห็นเหมือนๆ กันทุกคนแน่นอนครับ ว่าถ้าไม่มีชายที่ชื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ลิเวอร์พูลจะไม่มีทางมาอยู่ในจุดที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ได้อย่างแน่นอน การเข้ามาของกองหลังดัตช์แมนผู้นี้ได้เปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูลไปได้อย่างเหลือเชื่อ และไม่ใช่แค่กับลิเวอร์พูลเพียงอย่างเดียว กับตัวฟาน ไดค์เอง เขาก็เปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นได้อย่างสุดยอดเช่นกัน และรางวัล นักเตะยอดเยี่ยม PFA ในปีนี้เป็นเครื่องการันตีถึงความยอดเยี่ยมของตัวเขาได้เป็นอย่างดี



                                          ฟอร์มดีตลอดทั้งซีซั่น จนซิวรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมมาครอง

ก่อนจะมีวันนี้!   


          ลิเวอร์พูลกับฟาน ไดค์นั้น กว่าจะมาบรรจบพบกันได้ต่างฝ่ายก็ผ่านอะไรกันมาอย่างมากมายนะครับ ลิเวอร์พูลนั้นก็ตามหา “นายใหญ่ในแผงหลัง” มาอย่างนานแสนนาน แต่ก็หายากเสียเหลือเกิน คนล่าสุดที่เข้าข่ายนี้ก็น่าจะต้องย้อนไปถึง ซามี่ ฮูเปีย ปราการหลังร่างยักษ์ชาวฟินแลนด์ขวัญใจของลิเวอร์พูลนั่นเอง แต่หลังจากนั้นความแน่นอนในแผงหลังของลิเวอร์พูล ก็แทบไม่มีเลย เพราะขาดผู้นำในแผงหลังอย่างที่กล่าวมานั่นแหละ ส่วนทางด้านฟาน ไดค์นั้น กว่าจะมีวันนี้เขานั้นผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน ที่น่าตกใจคือ เขาเกือบจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลด้วยซ้ำ เพราะในวัยเด็กของเขา นอกจากเขาจะเป็นนักฟุตบอลแล้ว เขายังรับจ๊อบเป็น “เด็กล้างหม้อ” อีกอย่างเพื่อหาเงินมาช่วยแม่ของตัวเองด้วย และนอกจากจะเล่นกองหลังเก่งแล้ว เขาก็ยังล้างหม้อได้เก่งไม่แพ้ใครเหมือนกัน โดย ฌัคส์ ลิปส์ เจ้าของร้านอาหารที่ฟาน ไดค์เคยทำงานด้วย เคยให้คำแนะนำกับฟาน ไดค์ว่า

          “เขาควรล้างหม้อให้มากกว่านี้และล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเถอะ"

ถ้าวันนั้น ฟาน ไดค์เลือกที่จะเดินเข้าครัว แทนที่จะเดินลงสนามและมุ่งมั่นที่จะเป็นนักฟุตบอล แทนที่เราจะได้เห็นกองหลังระดับโลก แบบ ณ ปัจจุบันนี้ เราอาจจะได้เห็น “เด็กล้างหม้อ” มือวางอันดับ 1 ไปแทนก็ได้นะครับ ใครจะไปรู้ (ฮา) แถมเจ้าตัวยังเคยป่วยจนเกือบตายมาแล้วด้วยครั้งนึง จากอาการไส้ติ่งอักเสบ พร้อมภาวะแทรกซ้อนของเยื่อบุช่องท้อง รวมถึงการทำงานที่ผิดปกติของไต ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เขาเขียนจดหมายสั่งเสียไว้แล้วด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเขาช่างผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ

                                     
                                                      เกือบไม่ได้เป็นนักฟุตบอลซะแล้วมั้ยล่ะ ....

มีแต่คนมองข้าม   

          ส่วนเรื่องในสนามฟุตบอลนั้น ก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อยเหมือนกัน ในวัยเด็กสมัยอยู่ในฮอลแลนด์ ฝีเท้าของเขาก็ไม่ได้โดนเด่นอะไร กับวิลเล่ม ทเว (ต้นสังกัดแรกสมัยเยาวชน) ก็เป็นแค่นักเตะสมัครเล่น และไม่ได้รับสัญญาแบบนักเตะอาชีพด้วยซ้ำ แต่แมวมองของ โกรนิงเก้น ก็ไปเห็นฟอร์มของเขาในเกมเยาวชนแล้วก็ดึงเขาเข้ามาร่วมทีม แต่เขาก็ไม่ได้มีรางวัลหรือค่าจ้างที่สูงมากอะไรแต่อย่างใด  ตอนนั้นเขาได้ค่าเหนื่อยแค่เดือนละ 1,500 ยูโรเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับผู้เล่นคนอื่นๆ แถมช่วงแรกๆ เจ้าตัวยังต้องปั่นจักรยานมาซ้อมเพราะไม่มีรถอีกต่างหาก และหลังจากที่เขาพัฒนาการเล่นจนแข็งแกร่งจนมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปในระดับสูงขึ้นไปอีกระดับ และเป็นที่รู้กันดีว่าเขานั้นได้ถูกซื้อโดยทีม กลาสโกลว์ เซลติก แต่จริงๆ แล้วเขานั้นเกือบจะได้ย้ายทีมไปอยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อไปแทนที่ของ โทบี้ อันเดอร์ไวเรล ด้วยซ้ำ แต่แล้วอาแจ็กซ์ก็ดันไปเลือก ฟาน เดอร์ ฮูร์น ที่ตอนนี้ไปตกระกำลำบากกับสวอนซี ในศึกแชมเปี้ยนชิพ เสียอย่างนั้น ทำให้เขาได้ย้ายมาเล่นที่กลาสโกลว์ เซลติก แทนที่จะเป็นอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมไป


                                                            สมัยละอ่อนกับโกรนิงเก้น

พัฒนาไม่หยุด

          พอเขาได้เล่นในระดับสูง ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งการพัฒนาของเขาได้อีกต่อไป เขาถูกเซลติก ดึงตัวมาร่วมทัพด้วยค่าตัว 2.6 ล้านปอนด์ เพียงแค่ในฤดูกาลแรกกับที่นี่เขาก็ติดเป็น 1 ในทีมยอดเยี่ยมของลีก สก็อตแลนด์ได้แล้วและยังสามารถช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ Scottish Premiership ในปี 2013 – 2014 ได้อีกด้วย จนกระทั่งฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาไปเตะตาแมวมองทั่วยุโรปหลายต่อหลายทีม  และก็เป็น เซาท์แฮมตันที่โชคดีที่ได้ตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว13 ล้านปอนด์ และเซ็นต์สัญญาด้วยกันทั้งหมด 5 ปี และก็เป็นกำลังหลักให้กับเซาท์แฮมตันตลอดการค้าแข้งที่นั่นเสมอมา และเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดจนกระทั่งเป็นที่หมายปองของยอดทีมหลายทีมเลยทีเดียว ที่ต้องการคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ถ้าเรายังจำกันได้จากข่าวลือต่างๆ ณ ตอนนั้น ทั้งแมนฯยู  แมนฯซิตี้ หรือแม้แต่เชลซี ก็ต่างอยากได้ตัวเขาทั้งนั้น แต่คนจะคู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วกัน ฟาน ไดค์ตัดสินในเลือกที่จะมาร่วมทีมลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ แต่กว่าจะได้เขามาร่วมทีมนั้น ลิเวอร์พูลกับฟาน ไดค์ก็เจออุปสรรคมากมาย ทั้งการเรื่องของการติดต่อแบบผิดกฏการซื้อขาย และค่าตัวที่แรกเริ่มเดิมทีเซาท์แฮมตัน ก็เรียกราคามาแบบแพงเวอร์ที่ 60 ล้านปอนด์ แต่มาเกิดเหตุการณ์การซื้อขายที่ว่าเข้า ยิ่งทำให้เซาท์แฮมตันไม่พอใจและเรียกค่าตัวสูงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก จนสุดท้ายลิเวอร์พูลก็คว้าเขามาร่วมทีมจะได้ที่ราคา 75 ล้านปอนด์ ซึ่งตอนนั้นก็โดนแซวกันสนุกสนานเลยทีเดียวว่า “ซื้อกองหลังราคากองหน้ามาได้ยังไง” แต่ตอนนี้คงรู้กันหมดแล้ว ว่าทำไมตัวเลือกของคล็อปป์ถึงต้องเป็น “ฟาน ไดค์ เท่านั้น” 

                                                     ช่วยเซลติกคว้าแชมป์ Scottish Premiership




                                   ย้ายมาสู่รังหงส์ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์แพงที่สุดในตำแหน่งกองหลัง

หลังจากนั้น คือตำนาน ....

          ตั้งแต่ฟาน ไดค์มาอยู่กับลิเวอร์พูลเขาก็โชว์ฟอร์มโดดเด่นตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนามเลยด้วยซ้ำ เขาช่วยให้ทีมที่ขึ้นชื่อว่าเกมรับรั่วเป็นอันดับต้นๆ ของลีก กลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งได้ในช่วงเวลาเพียงไม่นาน และพาต้นสังกัดของเขาเข้าชิงถ้วยใบใหญ่ของยุโรปได้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถ้าไม่มีฟาน ไดค์รับรองว่าลิเวอร์พูลไม่มีทางไปถึงตรงนั้นได้แน่นอน และฟอร์มอันยอดเยี่ยมของเขาก็ต่อยอดมาถึงฤดูกาลปัจจุบัน ที่เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดที่ 36 ในปัจจุบัน ทำให้ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่เสียประตูที่น้อยที่สุดในลีก  และเก็บคลีนชีตมาที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม และตอนนี้ยังพาต้นสังกัดมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่ลิเวอร์พูลห่างหายไปกว่า 30 ปี และผลงานในแชมเปี้ยนลีกส์ก็ยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์เช่นเดียวกัน จนชนะใจเพื่อนร่วมอาชีพและทำให้เขาได้รางวัล “นักเตะยอดเยี่ยม PFA” ในปีนี้มาครอบครอง นั่นเอง     ตอนนี้ผลงานส่วนตัวของฟาน ไดค์ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรแล้ว เหลือแต่การพาต้นสังกัดของเขาคว้าแชมป์และประสบความสำเร็จไปด้วยกันนั่นแหละครับ คือหน้าที่และภาระที่ฟาน ไดค์ต้องรับผิดชอบและทำให้ได้ และถ้าเขาทำได้บางทีรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม PFA อาจจะไม่ใช่รางวัลส่วนตัวรางวัลเดียว ที่เขาจะคว้ามาได้ ใช่ครับ ผมหมายถึง บัลลงดอร์นั่นแหละ ! แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตครับ แต่ถึงยังไงตอนนี้ ฟาน ไดค์จะถูกจดจำในฐานะ "ตำนานกองหลัง" คนหนึ่งของลิเวอร์พูลแน่นอนครับ





   



คำค้นหา :
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด