:::     :::

ลิเวอร์พูล จะพลิกสถานการณ์เข้าชิงแชมป์ชปล.

วันจันทร์ที่ 06 พฤษภาคม 2562 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,954
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 0-3 ที่คัมป์ นูทำให้หลายคนมองว่า ลิเวอร์พูล คงต้องจอดป้ายในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกไว้ที่รอบรองชนะเลิศเท่านั้น

แต่นั่นคงไม่ใช่สำหรับแฟน "หงส์แดง" ตัวจริงที่ยังคงเชื่อมั่นว่าทีมจะยังพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะและพลิกผ่านเข้ารอบได้อยู่

ย้อนกลับเมื่อฤดูกาลที่แล้วในรอบก่อนรองชนะเลิศที่ บาร์เซโลน่า กระเด็นตกรอบทั้งที่เปิดรังถล่ม โรม่า 4-1 ในการเล่นที่คัมป์ นู แต่ในเกมนัดที่สองที่กรุงโรม "เจ้าบุญทุ่ม" กลับโดนถล่มคืนด้วยสกอร์ 3-0 รวมผลสองเกมเสมอกัน 4-4 ตกรอบไปด้วยกฏประตูทีมเยือน

พอเสียประตูแรกเร็ว และเมื่อมีประตูที่สอง, แม้แต่โคตรทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ก็ออกอาการเป๋ได้เหมือนกัน

แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะยิงประตู "อเวย์โกล" ไม่ได้เหมือนอย่างทีม "หมาป่า" แต่โจทย์เดียวกันคือการยิงสามประตู แต่ก็มีข้อแม้ว่าทีมจะต้องรักษาคลีนชีตให้ได้เช่นกัน


ด้วยเกมรับอันแข็งแกร่งในบ้าน โดยเฉพาะบอลยุโรปในปีนี้ที่เสียไปแค่สองลูกจากเกมเดียว คือเกมเปิดสนามที่เอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง 3-2 ก็ยังพออุ่นใจได้อยู่

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นแล้วในการรับมือกับทั้ง ลิโอเนล เมสซี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถ้าสองคนนี้เล่นไม่ได้เกมรุกของ บาร์เซโลน่า ก็แทบไร้พิษสง โดยเฉพาะในรายของ เมสซี่ ที่เป็นคนสร้างสรรค์เกม

เมื่อมองที่เกมรับของ "หงส์แดง" ที่เหนือกว่า "ปีศาจแดง" อยู่มากโขในปีนี้ น่าจะทำให้พอมีความหวังได้อยู่เหมือนกัน

ลองไปดูเหตุผลว่าทำไม ลิเวอร์พูล ถึงมีโอกาสพลิกสถานการณ์เอาชนะ บาร์เซโลน่า ด้วยสกอร์ที่มากกว่าหรือเท่ากัน พร้อมกับผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ

ลิเวอร์พูล มีศักยภาพในการหยุด 'ติกี้ ตาก้า' ของ บาร์เซโลน่า

        

หากลองดูที่สถิติจากเกมแรกที่คัมป์ นู, ลิเวอร์พูล พกพาความมั่นใจจากการครองบอลมากกว่าเจ้าถิ่นที่ 52 ต่อ 48 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะมีสักกี่ทีมที่ทำได้ โดยเฉพาะการไปเยือน

เท่านั้นไม่พอจากโอกาสโดยรวมในเกม, การผ่านบอล, การยิงประตู ทางฝั่ง "หงส์แดง" ล้วนแล้วแต่ทำได้ดีกว่าเจ้าถิ่นทั้งสิ้น เพียงแต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามทำให้ทีมไม่ได้ประตูสักลูก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่

โดยเฉพาะเรื่องการครองบอลที่ บาร์เซโลน่า ขึ้นชื่อในเรื่องนี้, การครอบครองเกมที่เหนือกว่าคู่แข่งจนกดดันและได้ประตู ซึ่งทีมดังจากสเปนเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้วแต่เป็นพวกเขาที่โดนบ้างในฤดูกาล 2012/13 ที่บุกไปโดน บาเยิร์น มิวนิค ยำเละ 0-4 ในรอบเดียวกันนี้เอง


ดังนั้นบาร์ซ่าไม่ใช่ทีมที่แพ้ไม่ได้ โดยเฉพาะการแพ้ด้วยสกอร์เยอะๆสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกทีม แม้ว่าในปีนี้ทีมของ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ จะยังไม่เคยแพ้ใครเกินกว่าสองประตูก็ตาม

แต่หากนับเฉพาะสถิติการครองบอลและโอกาส, บรรยากาศอันแสนกดดันในแอนฟิลด์ที่ไม่ว่าที่ไหนก็เทียบยาก น่าจะเป็นตัวปลุกเร้าให้เหล้าบรรดาแข้ง ลิเวอร์พูล มีพลังพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้

หากโอกาสที่ทำได้สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้มากพอ, การจะยิงคืนได้ถึงสามประตูก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน

ลิเวอร์พูล มีทีเด็ดพอยิง 4 ประตูไม่ว่าคู่แข่งจะเป็นใคร


ในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล สามารถต่อยอดเกมรุกที่ดีเอาไว้ได้ ซึ่งสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาเสริมก็คือเกมรับที่เหนียวแน่นของทีมนั่นเอง

จังหวะเข้าทำที่เฉียบขาดและรวดเร็ว, ทีเด็ดจากลูกตั้งเตะไม่ว่าจะฟรีคิกหรือลูกเตะมุมที่มี เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เป็นจ้าวเวหา, การเติมเกมของวิงแบ็คทั้งสองข้าง, จะงหวะจ่ายบอลทะลุช่อง ล้วนเป็นไม้ตายที่ "หงส์แดง" เล่นงานคู่แข้งมาแล้วนักต่อนัก

และจะว่าไปแล้ว เกมรับของ บาร์เซโลน่า ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องความเหนียวแน่นอะไร เพียงแต่บ่อยครั้งที่พวกเขาเปิดเกมบุกใส่คู่แข่งอยู่แทบจะฝ่ายเดียว ทำให้กองหลังไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนัก

ซึ่งอันที่จริงนี่ถือเป็น "จุดอ่อน" ของทีมยักษ์ใหญ่จากสเปนเหมือนกัน ในยามที่โดนบดบี้บ้างพวกเขาก็เป๋ได้


เมื่อฤดูกาลที่แล้วที่พบกับ โรม่า ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย บาร์เซโลน่า ก็เปิดบ้านเอาชนะไปได้ก่อนด้วยสกอร์ 4-1 พอถึงในเกมเลกที่สองที่กรุงโรม หลังจากเสียประตูเร็วในช่วงต้นเกมก่อนมาโดนอีกเม็ดหลังผ่านนาทีที่ 58 ต่อให้เป็น "โคตรทีม" ที่มีความเสี่ยงต่อการตกรอบ นักเตะก็ออกอาการลนลานได้เหมือนกัน

และในที่สุดทีม "หมาป่า" ก็ทำสำเร็จด้วยการกดเม็ดที่สามถีบ บาร์เซโลน่า ร่วงตกรอบไปอย่างเจ็บแสบ ก่อนมาพ่ายให้ ลิเวอร์พูล นี่เอง

แม้ว่าทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องชนะด้วยสกอร์ 4-0 ถึงจะเข้ารอบ แต่เอาแค่ 3-0 ใน 90 นาทีก่อนซึ่งไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเทียบกันแล้วทั้งในเรื่องของเกมรุก, ความดุดันและบรรยากาศในสนาม ลิเวอร์พูล ไม่เป็นรอง โรม่า แถมจะบอกว่าเหนือกว่าด้วย

ถ้า โรม่า ทำได้ ลิเวอร์พูล ก็มีโอกาสที่จะทำได้เหมือนกัน และอาจจะทำได้ดีกว่าด้วย

แนวรับ ลิเวอร์พูล สามารถหยุด เมสซี่ และ ซัวเรซ ได้


มีการพูดถึงกันในวงกว้างว่า ลิโอเนล เมสซี่ เล่นงานกองหลังของ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดวลกับนักเตะยอดเยี่ยมพีเอฟเอคนล่าสุดอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ 

แต่ถ้าจะพูดแบบแฟร์ต้องบอกว่าแผงแบ็คโฟร์ของ "หงส์แดง" ทำหน้าที่กันได้ไม่เลวเลยในการรับมือกับ เมสซี่ และผองเพื่อน

นั่นหมายความว่าด้วยการเล่นในสังเวียนแอนฟิลด์พวกเขายังน่าจะคงความแข็งแกร่งเอาไว้ได้อยู่

แต่คนที่ต้องเจอกับความกดดันเหนือใครคงหนีไม่พ้น หลุยส์ ซัวเรซ ที่ดีใจอย่างออกนอกหน้าหลังยิงประตูได้ในเกมที่คัมป์ นู มั่นใจได้เลยว่าเหล่า "เดอะ ค็อป" พร้อมจัดหนักตลอดเวลายามที่สัมผัสลูกบอล

       

ส่วนการจัดการกับ เมสซี่ โดยรวมแล้วตองถือว่าทีมทำได้ไม่ขี้เหร่เลย แม้ว่ากัปตันทีม "เจ้าบุญทุ่ม" จะยิงได้สองประตูในเกมนี้ แต่โอกาสมาจากการซ้ำลูกยิงของเพื่อน ส่วนอีกประตูมาจากฟรีคิกซึ่งเป็นสิ่งที่โทษกันไม่ได้

อย่างที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน บอกว่าทีมทำได้ดีในการจัดการกับ เมสซี่ และเมื่อดูจากตัวเลขที่ออกมาก็ต้องบอกว่ามันคือเรื่องจริง

หาก ลิเวอร์พูล สามารถจัดการกับทั้งสองคนนี้ได้ เท่ากับว่าเกมรุกของ บาร์เซโลน่าจะลดทอนความน่ากลัวลงไปเกินครึ่ง, ฟาวล์ในจังหวะที่จำเป็น, ไม่โฉ่งฉ่างจนเกินไป ซึ่งก็น่าจะเพิ่มโอกาสให้ทีมมากขึ้นไปในตัวนั่นเอง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด