:::     :::

ดีที่สุดยังไม่พอ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทุกท่านที่ทีมรักคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้สำเร็จ

แมนฯ ซิตี้ฟาดแชมป์ได้ด้วยการมี 98 คะแนน เฉือนชนะลิเวอร์พูลที่มี 97 คะแนน 

เรือใบสีฟ้า กลายเป็นทีมแรกในรอบทศวรรษที่ป้องกันแชมป์ได้ ทีมล่าสุดที่ทำได้คือแมนฯ ยูไนเต็ดของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในฤดูกาล 2008/09

แชมป์ในฤดูกาลนี้ของเรือใบสีฟ้านับว่ายากเย็นสุดขีดและลุ้นกันเหงื่อตกจนถึงนัดปิดฤดูกาลเพราะเจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้่อสุดๆ  

ฤดูกาลก่อน แมนฯ ซิตี้ทิ้งห่างแมนฯ ยูไนเต็ด 19 คะแนน แต่ฤดูกาลนี้พุ่งเอาหน้าอกเข้าเส้นชัยได้ก่อนลิเวอร์พูลแบบฉิวเฉียด

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บอกว่านี่คือแชมป์ลีกที่ยากที่สุดในชีวิตนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาคุมบาร์เซโลน่าเมื่อปี 2008 และได้แชมป์ลีกไปแล้ว 8 ครั้ง (บาร์เซโลน่า 3, บาเยิร์น มิวนิค 3 และแมนฯ ซิตี้ 2)

98 คะแนนของแมนฯ ซิตี้ เป็นตัวเลขที่สูงมาก และถ้าไม่ใช่ตัวเลขนี้ ตำแหน่งแชมป์ก็คงเปลี่ยนมือเพราะมีอีกทีมที่สุดยอดอย่างลิเวอร์พูล

เรือใบกับหงส์แดงรีดศักยภาพออกมาหมดเนื้อหมดตัวเพื่อลุ้นแชมป์ ตำแหน่งจ่าฝูงสลับมือกันมากเป็นสถิติ 31 ครั้ง  

แมนฯ ซิตี้ รักษามาตรฐานจากฤดูกาลก่อนที่ได้ 100 คะแนนไว้ได้ มีคะแนนน้อยกว่าเดิมเพียง 2 คะแนน แต่ลิเวอร์พูลก็ยกระดับขึ้นมาสู้ได้อย่างน่ายกย่อง และแสดงให้เห็นในหลายสิ่งหลายอย่างว่าดีพอที่จะเป็นแชมป์เช่นกัน 

ประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกสูงสุดอังกฤษ 100 ปีหลังสุด ไม่เคยมีรองแชมป์ทีมใดที่มีคะแนนมากถึง 97 คะแนน 

นับเฉพาะยุคพรีเมียร์ลีก 27 ฤดูกาล ลิเวอร์พูลก็มีคะแนนมากกว่าทีมแชมป์ 25 ฤดูกาล แพ้แค่ 2 ฤดูกาลหลังสุดที่แมนฯ ซิตี้ เป็นแชมป์ 

นอกจากนี้หงส์แดงยังทำคะแนนได้มากกว่าฤดูกาลที่แล้วถึง 22 คะแนน ไม่มีทีมใดอีกแล้วที่โกยแต้มมากกว่าเดิมขนาดนี้ 

สถิติอีกหลากหลายช่วยยืนยันว่า ''รองแชมป์'' ของลิเวอร์พูลเป็นมากกว่าอันดับ 2 

ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แพ้เพียงนัดเดียวตลอดฤดูกาล มันเกิดขึ้นในเกมยากที่สุดที่เอติฮัด สเตเดี้ยม 


เรือใบป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ

แค่เพียง 11 มิลลิเมตรเท่านั้นที่ จอห์น สโตนส์ หมุนตัวเคลียร์บอลทิ้งได้หวุดหวิดก่อนที่บอลจะข้ามเส้น

มันคือเสี้ยววินาทีที่อาจทำให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ได้เลย และเป็นแชมป์แบบไร้พ่ายอีกด้วย

เกมรับที่เสียน้อยที่สุดในลีกเพียง 22 ประตู คือจุดแข็งที่ยอดเยี่ยม เพราะด้วยสไตล์เกมรุกของ คล็อปป์ มันเปิดช่องหลังบ้านให้คู่แข่งได้โจมตีตลอดอยู่แล้ว

อลีสซง เบ็คเกอร์ ย้ายมาฤดูกาลแรกด้วยค่าตัวแสนแพง แต่ตอบแทนความคุ้มค่าได้ทุกปอนด์ นายทวารทีมชาติบราซิลจบฤดูกาลด้วย 21 คลีนชีต เหมาะสมแล้วกับรางวัลถุงมือทองคำ

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เองก็คู่ควรกับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของทั้งพรีเมียร์ลีก, พีเอฟเอ, บีบีซี และโฟร์โฟร์ทู 

ตลอดฤดูกาลที่ลงสนามครบ 38 นัด เขาไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนเลี้ยงบอลผ่านได้เลย เป็นฟอร์มการเล่นที่เหลือเชื่ออย่างมาก

แบ็ก 2 ข้างก็พลังล้นเหลือ เติมเกมรุกได้อย่างเมามันส์ ก่อนแอสซิสต์รวมกัน 23 ประตู! 

ขนาดผู้เล่นตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ที่มีหน้าที่นี้โดยตรงยังทำไม่ได้ขนาดนี้ แต่นี่คือกองหลังซึ่งหน้าที่หลักคือเกมรับ 

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ได้ยิงเป็นเข้าเหมือนฤดูกาล 2017/18 แต่ 22 ประตู ในฤดูกาลนี้ก็มากพอที่จะครองดาวซัลโวอีกปีโดยมี ซาดิโอ มาเน่ กับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง มาร่วมแชร์รางวัล 

แต่ที่เหนือกว่าสถิติดีงามมากมายก็คือ คล็อปป์และลูกทีมสร้างความหวังให้กับเดอะ ค็อป ทุกคนทั่วโลก

ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์ลีกมานาน 29 ปีเต็ม ฤดูกาลนี้ก็ยังไม่สมหวัง แต่สิ่งที่เห็นมาตลอด 9 เดือนทำให้ทุกคนมีความเชื่อมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ผลการแข่งขัน สถิติตัวเลขต่างๆ เป็นเรื่องดีที่จับต้องได้ แต่การสร้างความเชื่อและความหวังให้เกิดขึ้นพร้อมกันนั้นไม่ง่าย 

ฤดูกาลนี้พวกเขาทำอย่างดีที่สุด ทำอย่างสุดความสามารถ ทำในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ 


คล็อปป์ หาหงส์เฉียดใกล้แชมป์มากที่สุดแล้ว

แค่เพียงคะแนนเดียวเท่านั้นที่แพ้ให้กับแมนฯ ซิตี้ 

เรือใบสีฟ้าเป็นแชมป์ในแบบที่คู่ควรและไร้ข้อโต้แย้ง 

ในฤดูกาลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลก็ยังโค่นบัลลังก์แชมป์ของแมนฯ ซิตี้ ไม่ได้ นั่นแสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าทีมสีฟ้าจากแมนเชสเตอร์ยอดเยี่ยมเพียงใด 

หงส์แดงทำได้ดีในหลายอย่าง เรือใบก็ทำได้เยี่ยมไม่น้อยเช่นกัน

หงส์เสียประตูน้อยกว่า แต่เรือใบก็ยิงได้มากกว่า

หงส์กวาดเรียบ 9 นัดสุดท้าย แต่เรือใบก็กดเต็ม 42 คะแนนจาก 14 นัดหลัง

ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รางวัลยอดเยี่ยมส่วนบุคคลจากสมาคมผู้สื่อข่าว แต่อีกมุมก็สะท้อนถึงความเป็น ''ทีม'' ที่แมนฯ ซิตี้มี และเป็นสิ่งที่ เป๊ป ให้ความสำคัญมาโดยตลอด 

แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่ด้วยความเป็นทีมที่เป๊ปสร้างขึ้นก็ทำให้ผ่านบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเป็นแชมป์ 

ทีมยังมีปัญหากับแบ็ก 2 ข้างเหมือนเดิมทั้งอาการบาดเจ็บเรื้อรังของ เบนฌาแม็ง เมนดี้ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่ฟอร์มตกในครึ่งฤดูกาลแรก

ส่วนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์หลังเป็นแชมป์ที่เป๊ปยกตัวอย่างคือ วอล์คเกอร์ มีช่วงผลงานไม่ดี แต่ ดานิโล่ ก็ทำหน้าที่แทนได้ 

หัวใจสำคัญอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ หายหน้าไปเพราะอาการบาดเจ็บ 20 สัปดาห์เต็ม 

แฟร์นันดินโญ่ ก็มีช่วงที่พักรักษาตัว 10 สัปดาห์ ไหนจะคนอื่นๆ อย่าง แว็งซ็องต์ ก็องปานี, เซร์คิโอ อเกวโร่ และ ดาบิด ซิลบา

ลีรอย ซาเน่ เองก็ไม่ได้จัดจ้านเหมือนฤดูกาลก่อน แต่เป๊ปก็ยังเข็นทีมให้อยู่บนเส้นทางได้

ตอนคว้าแชมป์ด้วย 100 คะแนน เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เป๊ปยอมรับว่าหากมาตรฐานจะดร็อปลงในฤดูกาลนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งเป็นฤดูกาลหลังคว้าแชมป์ด้วย ยิ่งยากในการรักษาแรงกระตุ้น

แต่ก็เพราะความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูลที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ ต้องปลุกตัวเองในทุกวินาทีว่า ''ห้ามพลาด'' เพราะพลาดเมื่อไหร่โดนแซงแน่

แมนฯ ซิตี้ ต้องชนะรวด 14 นัดสุดท้ายเพื่อให้ได้แชมป์ ต้องเกินร้อยในทุกนัดเพื่อเป้าหมายเดียวคือ ''ชนะ'' เป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ

กลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างเค้นเอาทุกสิ่งอย่างที่ตัวเองมีมาสู้กันเพื่อตำแหน่งแชมป์ เราจึงได้เห็นการลุ้นแชมป์ที่เข้มข้นที่สุดอีกฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก  

ลิเวอร์พูลและ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำดีที่สุดกับการโกยไปถึง 97 คะแนน คะแนนขนาดนี้เป็นแชมป์ได้ในทุกฤดูกาล 

แต่ไม่ใช่ในฤดูกาลนี้ที่ยังมีแมนฯ ซิตี้ และเป๊ป กวาร์ดิโอล่า 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด